คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3184/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำร้องฉบับแรกผู้ร้องมีความประสงค์ขอเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เดิมทั้งหมด แต่คำร้องฉบับหลังเป็นการยื่นคำร้องเข้ามาโดยมีความประสงค์ขอเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เดิมเพียงบางส่วนคือขอเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 1 ข้อ 3 และข้อ 4 ส่วนสิทธิตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 ยังเป็นของโจทก์เดิม อันหมายความได้ว่า โจทก์เดิมยังคงเป็นคู่ความในคดีหรือยังคงเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิบังคับชำระหนี้ตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 ได้ต่อไป คำร้องฉบับหลังของผู้ร้องดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ชัดว่าเป็นการขอเข้ามาในลักษณะเป็นโจทก์อีกคนหนึ่งหรือเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอีกคนหนึ่งโดยโจทก์เดิมก็ยังคงเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีเช่นเดียวกัน มิใช่เป็นการเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เดิมซึ่งมีผลทำให้โจทก์เดิมพ้นจากการเป็นคู่ความหรือพ้นจากการเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและทำให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความหรือเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้แทนอันเป็นการเข้าสวมสิทธิตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.ก.บริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 มาตรา 7 แต่อย่างใด ซึ่งไม่มีกฎหมายใดอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาในคดีเพื่อเป็นโจทก์อีกคนหนึ่งหรือเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอีกคนหนึ่งในลักษณะเช่นนี้ได้ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้แก้ไขคำสั่งให้สวมสิทธิเดิมและยังคงคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เดิม
จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 37,830,048.04 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปี ของต้นเงิน 18,752,237.59 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ร่วมกันชำระค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกันในอัตราร้อยละ 2.5 ต่อปี ของต้นเงินวงเงินหนังสือค้ำประกัน 1,209,900 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 นำต้นฉบับหนังสือค้ำประกันคืนโจทก์หรือโจทก์ได้รับหนังสือยืนยันการหมดภาระผูกพันจากผู้รับประโยชน์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ จำเลยทั้งสี่ยังไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ คดีอยู่ระหว่างการบังคับคดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้แทนผู้สวมสิทธิโจทก์เดิม
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ ต่อมาวันที่ 7 กันยายน 2558 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องได้ตรวจสอบคำสั่งดังกล่าวเปรียบเทียบกับสัญญาที่ผู้ร้องซื้อสินทรัพย์จากเจ้าหนี้แล้วพบว่าศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องสวมสิทธิเกินกว่าข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องมีสิทธิ กล่าวคือ การซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในคดีนี้ ผู้ร้องซื้อเฉพาะส่วนของมูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 1 เท่านั้น ส่วนมูลหนี้ค่าธรรมเนียมในการออกหนังสือค้ำประกันวงเงินจำนวน 1,209,900 บาท ตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 นั้น ผู้ร้องไม่ได้สิทธิรับโอนมาจากโจทก์ ดังนั้น ในส่วนของมูลหนี้ตามหนังสือค้ำประกันดังกล่าวผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิสวมสิทธิด้วยความพลั้งเผลอและหลงลืมของผู้ร้องที่ไม่ได้แสดงให้ทราบก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งให้สวมสิทธิ ขอให้ศาลมีคำสั่งแก้ไขคำสั่งให้สวมสิทธิดังกล่าว เป็นว่าให้ผู้ร้องสามารถเข้าสวมสิทธิได้เฉพาะตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 1 ข้อ 3 และข้อ 4 กล่าวคือ ให้มีสิทธิในส่วนของมูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 1 และหากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ขอให้ยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดนำเงินสุทธิมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องจนครบถ้วน รวมถึงให้จำเลยทั้งสี่ชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความอย่างสูงแทนผู้ร้องด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและเป็นไปด้วยความถูกต้องทั้งไม่ทำให้คู่ความฝ่ายใดเสียเปรียบ และเป็นการขอแก้ไขข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ร้องมิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด คำสั่งศาลจึงถึงที่สุด มิอาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้ ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำร้องของผู้ร้องมิได้ระบุว่า ผู้ร้องไม่ได้รับโอนสิทธิในมูลหนี้ค่าธรรมเนียมในการออกหนังสือค้ำประกันวงเงิน 1,209,900 บาท ตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 มาจากโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ เป็นการวินิจฉัยสั่งตรงตามคำขอในคำร้องของผู้ร้องแล้ว คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวมิได้มีข้อผิดพลาดหรือข้อผิดหลงแต่ประการใด แม้จะเกินกว่าที่ผู้ร้องมีสิทธิ การแก้คำวินิจฉัยในคำสั่งเดิมทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจแก้ไขคำสั่งดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของผู้ร้องนั้นชอบแล้ว พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำร้องของผู้ร้องฉบับลงวันที่ 5 มีนาคม 2556 และฉบับลงวันที่ 7 กันยายน 2558 เมื่อพิจารณาประกอบกันทั้งหมดแล้ว เห็นว่า ตามคำร้องฉบับแรกผู้ร้องมีความประสงค์ขอเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เดิมทั้งหมด แต่คำร้องฉบับหลังเป็นการยื่นคำร้องเข้ามาโดยมีความประสงค์ขอเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เดิมเพียงบางส่วนคือขอเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 1 ข้อ 3 และข้อ 4 ส่วนสิทธิตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 ยังเป็นของโจทก์เดิม อันหมายความได้ว่า โจทก์เดิมยังคงเป็นคู่ความในคดีหรือยังคงเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิบังคับชำระหนี้ตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 ได้ต่อไป คำร้องฉบับหลังของผู้ร้องดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ชัดว่าเป็นการขอเข้ามาในลักษณะเป็นโจทก์อีกคนหนึ่งหรือเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอีกคนหนึ่งโดยโจทก์เดิมก็ยังคงเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีเช่นเดียวกัน มิใช่เป็นการเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เดิมซึ่งมีผลทำให้โจทก์เดิมพ้นจากการเป็นคู่ความหรือพ้นจากการเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและทำให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความหรือเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้แทนอันเป็นการเข้าสวมสิทธิตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 มาตรา 7 แต่อย่างใด ซึ่งไม่มีกฎหมายใดอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาในคดีเพื่อเป็นโจทก์อีกคนหนึ่งหรือเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอีกคนหนึ่งในลักษณะเช่นนี้ได้ ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้แก้ไขคำสั่งให้สวมสิทธิเดิมและยังคงคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เดิมและศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษายืนมีผลทำให้ผู้ร้องยังสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เดิมนั้น จึงชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share