คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 288 แม้ศาลชั้นต้นฟังว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 297 (8) โดยไตร่ตรองไว้ก่อนก็ไม่อาจปรับบทลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 298 ได้ เพราะตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวหาว่าจำเลยกับพวกกระทำโดยไตร่ตรอง ทั้งไม่มีบทขอให้ลงโทษในคำขอท้ายฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 298 เป็นการพิพากษาเกินคำขอ ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 288, 371
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายฉัตรชัย ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาล 400,000 บาท ค่าเสียความสามารถประกอบการงาน 500,000 บาท ค่าผ่าตัด 2 ครั้ง เป็นเงิน 100,000 บาท และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีก 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,030,000 บาท
จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีในส่วนแพ่งว่า จำเลยมิได้กระทำผิดต่อโจทก์ร่วมขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8), 298 ประกอบมาตรา 86 จำคุก 4 ปี ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ร่วมเป็นเงิน 378,410 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส โดยไตร่ตรองไว้ก่อน และยกคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเสียด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติตามที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ มีกลุ่มคนร้ายร่วมกันรุมเตะต่อยโจทก์ร่วมและใช้มีดแทงเข้าที่ด้านหลัง เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายสาหัส ตามรายงานการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมว่า จำเลยเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของกลุ่มคนร้ายตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษมาจริงหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์และโจทก์ร่วมมีทั้งประจักษ์พยานและพยานพฤติเหตุแวดล้อมประกอบ เริ่มแต่ตัวโจทก์ร่วมเบิกความยืนยันว่าก่อนเกิดเหตุพยานได้ชกต่อยทำร้ายจำเลย เนื่องจากจำเลยทำท่าจะเอาบุหรี่มาจี้ที่แก้ม ซึ่งข้อนี้จำเลยก็รับเจือสมโดยอ้างว่าตนเป็นเพียงแกล้งหยอกล้อโจทก์ร่วมเท่านั้น เมื่อถูกชกต่อยก็มิได้ตอบโต้โดยต่างแยกย้ายกันกลับ โดยมีนายศรายุทธ พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความสนับสนุนว่า ภายหลังมีเรื่องชกต่อยกันดังกล่าว พยานบอกให้จำเลยกลับไป ต่อมาก่อนเกิดเหตุพยานกับพวกไปดูการแข่งรถ จำเลยได้โทรศัพท์มาบอกพยานว่าจะดักทำร้ายโจทก์ร่วม ให้พยานขับรถหลบไปทางอื่น พยานนำความไปบอกให้โจทก์ร่วมทราบ แต่โจทก์ร่วมไม่เชื่อ เมื่อถึงบริเวณที่เกิดเหตุปรากฏว่ามีการดักทำร้ายกันจริง โดยเห็นจำเลยยืนอยู่ข้างรถยนต์ของตนซึ่งจอดดักรออยู่บริเวณนั้น และเหตุการณ์ในตอนนี้ โจทก์และโจทก์ร่วมมีประจักษ์พยานอีกสองปาก คือนายธนัท กับนายอนุวัฒร์ ซึ่งเป็นผู้ประสบเหตุด้วยตนเอง ต่างเบิกความยืนยันสอดคล้องต้องกันว่ามีคนร้ายถือไม้มาดักทำร้ายและขณะคนร้ายกำลังเงื้อไม้จะตีพยานซึ่งขับไปถึงก่อน ได้ยินจำเลยร้องบอกว่าไม่ใช่ พวกพยานจึงรอดพ้น แต่เมื่อโจทก์ร่วมขับรถจักรยานยนต์ตามหลังมาถึงได้ยินจำเลยร้องบอกว่าใช่คนนี้ พวกของจำเลยจึงกระโดดถีบรถจักรยานยนต์ของโจทก์ร่วมจนล้ม แล้วเข้ารุมทำร้ายทันที เมื่อโจทก์ร่วมลุกขึ้นวิ่งหนี จำเลยก็บอกให้พรรคพวกวิ่งไล่ ซึ่งเหตุการณ์ในช่วงนี้ตัวโจทก์ร่วมเบิกความยืนยันว่าตนต้องทำแกล้งล้มไปนอนแน่นิ่ง จนพวกคนร้ายเข้าใจว่าตายแล้ว จึงต่างแยกย้ายกันไป พยานโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าวมาต่างเบิกความเป็นลำดับขั้นตอนตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมีเหตุผลเชื่อมโยงกันตั้งแต่เริ่มต้นที่โจทก์ร่วมชกต่อยจำเลยก่อน จึงเชื่อว่าจำเลยยังผูกใจเจ็บจึงไปดักทำร้ายเอาคืน ไม่มีข้อให้น่าเคลือบแคลงเป็นอื่น เพราะพยานโจทก์และโจทก์ร่วมที่มาเบิกความแต่ละปาก ต่างเป็นเพื่อนรู้จักและไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยเป็นส่วนตัว จึงไม่มีเหตุที่จะมาบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อปรักปรำให้ร้ายจำเลยอย่างไร้เหตุผล คำประจักษ์พยานโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าวมา มีน้ำหนักรับฟังเป็นจริง ไม่มีข้อให้น่าระแวงสงสัยเป็นอื่น พยานจำเลยไม่พอหักล้าง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นให้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8) และให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม จึงชอบแล้ว แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำความผิดโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 298 นั้น เป็นการพิพากษาเกินคำขอต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ทั้งนี้เพราะตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวหาว่าจำเลยกับพวกกระทำโดยไตร่ตรอง ทั้งไม่มีบทขอให้ลงโทษในคำขอท้ายฟ้อง จึงไม่อาจปรับบทลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8) ประกอบมาตรา 86 ให้จำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share