คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยปลูกบ้านรุกล้ำที่ดินโฉนดเลขที่ 52927 ของโจทก์ และขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งอ้างการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินพิพาท ของโจทก์ที่โจทก์เพิ่งซื้อมาเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2554 โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นบุคคลภายนอกผู้ซื้อที่ดินมาโดเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว เพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์ มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยอย่างไรและโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ ดังนั้น ประเด็นที่ว่า โจทก์ซื้อที่ดินมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตหรือไม่ จึงรวมอยู่ในประเด็นที่ว่าจำเลยต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่ด้วย โดยโจทก์ไม่จำต้องโต้แย้งคัดค้านประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ดังกล่าวอีก เพราะถือว่าเป็นประเด็นเดียวกันกับที่โจทก์ได้ให้การแก้ฟ้องแย้งไว้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์ทางด้านทิศตะวันตก เนื้อที่ประมาณ 7.4 ตารางวา ตามแนวเส้นสีเขียวของแผนที่พิพาท หากจำเลยไม่ดำเนินการให้โจทก์ดำเนินการเองโดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินโจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้ศาลมีคำสั่งให้ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 52927 ตำบลบางกระสอ (บ้านแขกตลาดขวัญ) อำเภอเมืองนนทบุรี (ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ 7.2 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ ห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้อง และมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินแก้ชื่อทางทะเบียนใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนแห่งที่ดินแปลงนี้
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 52927 ตำบลบางกระสอ (บ้านแขกตลาดขวัญ) อำเภอเมืองนนทบุรี (ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรี ตามแนวเขตบ้านของจำเลยที่ปลูกรุกล้ำที่ดินดังกล่าวในแผนที่พิพาท เส้นสีเหลือง จากหลัก ม.1, ม.2, บ.3, บ.4, บ.1, บ.2 บรรจบ ม.1 เนื้อที่ 7 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป สำหรับฟ้องโจทก์และคำขอท้ายฟ้องแย้งอื่นของจำเลยให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในส่วนของฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้มีการจัดทำแผนที่พิพาทหลายครั้งหลายหนซึ่งแต่ละครั้งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่คดีเลย จนกระทั่งมีการจัดทำแผนที่พิพาทครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2557 ซึ่งคู่ความต่างแถลงยอมรับร่วมกันต่อศาลชั้นต้นว่า เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำแผนที่พิพาทไว้โดยชอบและถูกต้องตามที่คู่ความต่างนำชี้แล้ว ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นวันที่ 1 กันยายน 2557 ดังนั้น ที่ดินพิพาทจะมีเนื้อที่เท่าใดจึงต้องพิจารณาจากแผนที่พิพาทเป็นสำคัญ เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงโดยเชื่อว่าแนวเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 52927 ของโจทก์เป็นไปตามรูปแผนที่ที่โจทก์นำชี้เส้นสีเขียวจากหลัก ต.4, ม.1, ม.2, ต.1, ต.5, ต.3 บรรจบ ต.4 เนื้อที่ 50 ตารางวา แต่แนวเขตที่ดินของโจทก์ดังกล่าวมีบ้านของจำเลยที่ปลูกรุกล้ำที่ดินโฉนดเลขที่ 52927 ของโจทก์ ตามเส้นสีเหลืองจากหลัก ม.1, ม.2, บ.3, บ.4, บ.1, บ.2 บรรจบ ม.1 เนื้อที่ 7 ตารางวา ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของโจทก์ ที่ดินพิพาทจึงหมายถึงที่ดินที่มีบ้านของจำเลยปลูกรุกล้ำเข้าไปในที่โจทก์เนื้อที่ 7 ตารางวา ตามเส้นสีเหลืองในแผนที่พิพาทดังกล่าว ซึ่งมีเนื้อที่ใกล้เคียงกับที่จำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งฉบับลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2555 ที่ระบุการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทโจทก์เนื้อที่ 7.2 ตารางวา ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามเส้นสีน้ำเงินเนื้อที่ 7 ตารางวา จึงไม่ถูกต้อง เมื่อคู่ความแถลงร่วมกันว่าที่ดินพิพาทมีราคาตารางวาละ 8,000 บาท ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นวันที่ 7 พฤศจิกายน 2555 ที่ดินพิพาทจึงมีราคา 56,000 บาท ซึ่งเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในคดีนี้ โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเพียง 5 ปี ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์เฉพาะในส่วนที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์นั้นเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของโจทก์ย่อมไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
ในส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์เป็นบุคคลภายนอกผู้ซื้อที่ดินมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยเพราะเห็นว่าโจทก์ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านในปัญหาข้อนี้ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยปลูกบ้านรุกล้ำที่ดินโฉนดเลขที่ 52927 ของโจทก์และขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งอ้างการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินพิพาทของโจทก์ที่โจทก์เพิ่งซื้อมาเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2554 ซึ่งการครอบครองปรปักษ์จะมีได้ก็แต่เฉพาะในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น คำให้การของจำเลยจึงเป็นการยอมรับว่าที่ดินพิพาทเนื้อที่ 7 ตารางวา ตามแผนที่พิพาทอยู่ในแนวเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 52927 ของโจทก์ ซึ่งจำเลยฟ้องแย้งต่อไปว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ และโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นบุคคลภายนอกผู้ซื้อที่ดินมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว เพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยอย่างไรและโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ ดังนั้น ประเด็นที่ว่า โจทก์ซื้อที่ดินมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตหรือไม่ จึงรวมอยู่ในประเด็นที่ว่าจำเลยต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่ด้วย โดยโจทก์ไม่จำต้องโต้แย้งคัดค้านประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ดังกล่าวอีก เพราะถือว่าเป็นประเด็นเดียวกันกับที่โจทก์ได้ให้การแก้ฟ้องแย้งไว้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share