แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยมีหน้าที่ตามสัญญาประกันภัยต้องชำระค่ารักษาพยาบาลให้แก่ ฐ. และนาวาอากาศเอก ฤ. ผู้โดยสารรถคันที่โจทก์รับประกันภัย แล้วรับช่วงสิทธิของ ฐ. และนาวาอากาศเอก ฤ. มาไล่เบี้ยเอาจากผู้ต้องรับผิดจากการที่รถเกิดเฉี่ยวชนกัน เมื่อเหตุที่รถเฉี่ยวชนกันเกิดจากความประมาทของผู้ขับรถคันที่โจทก์รับประกันภัย และจำเลยที่ 1 ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่ ฐ. และนาวาอากาศเอก ฤ. ครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินค่ารักษาพยาบาล
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 367,388 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 349,642 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 240,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนด ค่าทนายความ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ยกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนของจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2552 จนกว่าคดีจะถึงที่สุดตามที่โจทก์ขอ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงรับฟังยุติในชั้นนี้ว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่เรืออากาศเอกชัยยศ เป็นผู้ขับ จำเลยที่ 1 ขับรถเลี้ยวขวาจะเข้าซอยโรงเรียน ฤทธิยะวรรณาลัยโดยไม่ระวังเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถเรืออากาศเอกชัยยศซึ่งแล่นมาในทางตรงโดยมีสัญญาณจราจรไฟกระพริบติดตั้งอยู่ รถยนต์เรืออากาศเอกชัยยศได้รับความเสียหาย นางฐิมณพัณณ์ และนาวาอากาศเอกฤาชา ซึ่งโดยสารมาในรถได้รับบาดเจ็บ โจทก์จ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนในการรักษาพยาบาลนางฐิมณพัณณ์และนาวาอากาศเอกฤาชา รวม 120,942 บาท ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเรืออากาศเอกชัยยศและจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์เฉี่ยวชนกันโดยประมาทเลินเล่อไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้ครอบครองรถไม่ได้ทำละเมิดด้วย และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปใช้ในทางอันเป็นประโยชน์ของจำเลยที่ 2 และพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิไล่เบี้ยเพียงค่าเสียหายเบื้องต้นตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถที่จ่ายให้แก่นางฐิมณพัณณ์และนาวาอากาศเอกฤาชา รายละ 15,000 บาท
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหาว่าเรืออากาศเอกชัยยศมีส่วนประมาทด้วยหรือไม่นั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยปัญหานี้ว่า บริเวณสี่แยกมีสัญญาณจราจรไฟสีแดงกระพริบเปิดอยู่ เรืออากาศเอกชัยยศรับว่าขับรถผ่านทางร่วมทางแยกไปด้วยความเร็ว 80 ถึง 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมิได้หยุดรถเป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 22 (5) ที่ให้หยุดรถหลังเส้นให้รถหยุด เมื่อเห็นว่าปลอดภัยและไม่เป็นการกีดขวางการจราจรแล้วจึงให้ขับรถต่อไปได้ด้วยความระมัดระวัง ฟังได้ว่า เรืออากาศเอกชัยยศมีส่วนประมาทด้วย แต่อุทธรณ์ของโจทก์อ้างแต่เพียงข้อเท็จจริงที่ได้จากทางนำสืบของโจทก์มาแสดงว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทเลินเล่ออย่างไรบ้าง โดยมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่วินิจฉัยว่าเรืออากาศเอกชัยยศมีส่วนประมาทเลินเล่อว่าไม่ถูกต้องอย่างไร และที่ถูกต้องเป็นอย่างไร อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย เมื่อวินิจฉัยมาดังนี้แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อฝ่ายเดียวจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (ที่ใช้บังคับในขณะยื่นฟ้อง) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า เรืออากาศเอกชัยยศและจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า ที่เกิดเหตุมีสัญญาณจราจรไฟกระพริบติดตั้งอยู่ เหตุเกิดในเวลากลางคืน หากจำเลยที่ 1 ใช้ความระมัดระวังให้แน่ใจว่าปลอดภัยก่อนที่จะขับรถเลี้ยวขวาตัดถนนทางตรง ย่อมต้องมองเห็นรถยนต์ที่เรืออากาศเอกชัยยศขับมาด้วยความเร็วสูง และต้องหยุดรถรอให้แน่ใจว่าปลอดภัยจึงขับรถแล่นผ่านไป ขณะเดียวกัน เรืออากาศเอกชัยยศซึ่งขับรถยนต์แล่นผ่านสัญญาณจราจรไฟกระพริบต้องหยุดรถหลังเส้นให้รถหยุด เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้ว จึงให้ขับรถต่อไปได้ด้วยความระมัดระวัง แต่เรืออากาศเอกชัยยศกลับเปิดสัญญาณไฟหน้ารถขอทางและขับรถแล่นผ่านสัญญาณจราจรไฟกระพริบด้วยความเร็ว 80 ถึง 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมิได้ลดความเร็วของรถลงและผ่านทางเดินรถนั้นไปด้วยความระมัดระวัง ดังนี้ ทั้งจำเลยที่ 1 และเรืออากาศเอกชัยยศหาได้ใช้ความระมัดระวังไม่ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และเรืออากาศเอกชัยยศขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 ประกอบมาตรา 223 โจทก์จึงไม่อาจรับช่วงสิทธิของเรืออากาศเอกชัยยศมาเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในความเสียหายต่อรถยนต์ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดค่ารักษาพยาบาลของนางฐิมณพัณณ์และนาวาอากาศเอกฤาชารวม 120,942 บาท หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยมีหน้าที่ตามสัญญาประกันภัยต้องชำระค่ารักษาพยาบาลให้แก่นางฐิมณพัณณ์และนาวาอากาศเอกฤาชา ผู้โดยสารรถคันที่โจทก์รับประกันภัย แล้วรับช่วงสิทธิของนางฐิมณพัณณ์และนาวาอากาศเอกฤาชามาไล่เบี้ยเอาจากผู้ต้องรับผิดจากการที่รถเกิดเฉี่ยวชนกัน เมื่อเหตุที่รถเฉี่ยวชนกันเกิดจากความประมาทของผู้ขับรถคันที่โจทก์รับประกันและจำเลยที่ 1 ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่นางฐิมณพัณณ์และนาวาอากาศเอกฤาชาครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินค่ารักษาพยาบาล 120,942 บาท โจทก์จึงรับช่วงสิทธิของนางฐิมณพัณณ์และนาวาอากาศเอกฤาชามาเรียกร้องค่าเสียหายส่วนนี้จากจำเลยที่ 1 ได้ครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 60,471 บาท ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเพียงค่าเสียหายเบื้องต้นตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 นั้น โจทก์ไม่ได้บรรยายข้อเท็จจริงมาในฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปในทางอันเป็นประโยชน์ของจำเลยที่ 2 อย่างไร อันจะทำให้จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิด ฎีกาของโจทก์ข้อนี้เป็นฎีกาไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (ที่ใช้บังคับในขณะยื่นฟ้อง) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 60,471 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2552 จนกว่าคดีจะถึงที่สุดตามที่โจทก์ขอท้ายฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์