แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามหนังสือรับรองห้างหุ้นส่วน โจทก์ที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 โดยไม่มีข้อจำกัดอำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการและสามารถกระทำการแทนโจทก์ที่ 1 และที่ 2 โดยไม่จำต้องมีตราประทับสำคัญของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 โจทก์ที่ 3 คนเดียวจึงลงนามมอบอำนาจในฐานะกระทำการแทนโจทก์ที่ 1 และที่ 2 และในฐานะส่วนตัวของโจทก์ที่ 3 ได้
ตามหนังสือมอบอำนาจมีใจความชัดเจนว่า ขอมอบอำนาจให้ อ. เป็นตัวแทนฟ้องร้องดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสิบ อันเป็นการมอบอำนาจให้ อ. ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ทั้งสามเพียงคดีเดียว ถือว่าเป็นการมอบอำนาจให้กระทำการครั้งเดียว และแม้โจทก์ทั้งสามมอบอำนาจในตราสารเดียวกันก็ต้องคิดตามรายบุคคล จึงต้องปิดอากรแสตมป์รายละ 10 บาท ตามบัญชีอัตราแสตมป์ ลักษณะแห่งตราสารข้อ 7 (ก) ท้ายหมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากร ใบมอบอำนาจปิดอากรแสตมป์มา 30 บาท จึงครบถ้วนบริบูรณ์ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 108, 118 ส่วนการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ทั้งสามปิดอากรแสตมป์เพิ่มและขีดฆ่าก่อนมีคำพิพากษานั้น หามีผลทำให้หนังสือมอบอำนาจซึ่งเป็นตราสารใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้อยู่แล้วกลับเป็นใช้ไม่ได้แต่อย่างใดไม่
ข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นเรื่องนอกคำให้การและนอกประเด็นข้อพิพาท ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสองต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 219 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ทั้งสามยื่นฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ฎีกาของจำเลยที่ 1 ทั้งสองข้อมีข้อความทั้งหมดเป็นไปในทำนองเดียวกับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ข้อ 13 ไม่มีเนื้อหาที่ยกเหตุผลขึ้นโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 9 ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยข้อเท็จจริงไม่ชอบด้วยเหตุผลหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ฎีกาทั้งสองข้อนี้จึงไม่ได้ว่ากล่าวไว้โดยชัดแจ้งซึ่งข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ทั้งสามยื่นฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
ข้อความที่โจทก์ทั้งสามฎีกา เป็นข้อความที่คัดลอกตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามข้อ 5.1 หน้า 24 ถึง 39 โดยมีใจความสำคัญเหมือนกับอุทธรณ์ดังกล่าวทั้งหมด เพียงแต่เพิ่มเติมและตัดทอนข้อความที่เป็นรายละเอียดเล็กน้อยบางส่วน ไม่มีเนื้อหาโต้แย้งว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่ชอบด้วยเหตุผลหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งซึ่งข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ทั้งสามยื่นฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสาม 36,992,041 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 17,089,200 บาท และของต้นเงิน 24,986 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสิบร่วมกันและหรือแทนกันชำระค่าเสียหายจากการขาดรายได้ที่เป็นผลกำไรส่วนต่างค่าการตลาดต่ำสุดวันละ 178,800 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสิบจะชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสามเสร็จสิ้น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 9 ร่วมกันชำระเงิน 17,089,200 บาท และ 24,986 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 และร้อยละ 7.5 ต่อปี ของแต่ละยอดตามลำดับ นับตั้งแต่วันที่ 7กุมภาพันธ์ 2551 (วันปฏิเสธการจ่ายเงิน) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 3 เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 9 ร่วมกันใช้แทนเท่าที่โจทก์ที่ 3 ชนะคดีโดยกำหนดค่าทนายความ 100,000 บาท ยกฟ้องโจทก์ที่ 3 ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 4ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 และที่ 10 และยกฟ้องโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจำเลยที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 และที่ 10 ให้เป็นพับคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด ประกอบธุรกิจค้าขายน้ำมันเชื้อเพลิง มีโจทก์ที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ และโจทก์ที่ 3 ยังเป็นตัวแทนค้าส่งน้ำมันเชื้อเพลิงของบริษัท การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ในนามของโจทก์ที่ 3ด้วยรถบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงของห้างหุ้นส่วนจำกัด สงขลาปิโตรเลียม จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจด้านธุรกรรมทางการเงินและการธนาคารพาณิชย์ จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด ประกอบกิจการค้าขายน้ำมันเชื้อเพลิง มีจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 4 ถึงที่ 9 เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 4 ดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการฝ่ายบริการลูกค้าสำนักงานเขต สาขาสงขลา จำเลยที่ 5 ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่อาวุโสบริการลูกค้าจำเลยที่ 6 ดำรงตำแหน่งผู้จัดการสาขาอาวุโส สาขาสงขลา จำเลยที่ 7 ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่อาวุโสบริการลูกค้า สาขาสงขลา จำเลยที่ 8 เป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการประจำหน่วยงาน สำนักงานเขตสงขลา และเป็นสามีของจำเลยที่ 10 จำเลยที่ 9 เป็นเจ้าหน้าที่บริการลูกค้า สาขาสิงหนคร และเป็นสามีของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 10 เป็นตัวแทนค้าปลีกและค้าส่งน้ำมันเชื้อเพลิงของบริษัท การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จำกัด (มหาชน)โดยซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากโจทก์ที่ 3 ผ่านทางบัญชีของโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 และค้าน้ำมันเชื้อเพลิงของบริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด จากโจทก์ที่ 3 ผ่านทางบัญชีของโจทก์ที่ 2 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 โจทก์ที่ 3 ขายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่จำเลยที่ 10 จำนวน 380,000 ลิตร เป็นเงิน 10,886,877.42 บาท จำเลยที่ 10 นำไปขายต่อแก่จำเลยที่ 2 เป็นเงิน 10,918,050 บาท และวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2551 จำเลยที่ 10 สั่งซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากโจทก์ที่ 3 เพิ่มอีก 216,000 ลิตร เป็นเงิน 6,127,650 บาท รวมเป็นเงิน 17,089,200 บาท เงื่อนไขการชำระราคาคือผู้ซื้อต้องชำระราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในวันรุ่งขึ้นหลังจากได้รับน้ำมันเชื้อเพลิงที่สั่งซื้อ ต่อมาวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 จำเลยที่ 9 ทำรายการใบนำฝากเงินเท็จโอนเงินจากธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสิงหนคร 2 รายการ รวมเป็นเงิน 17,089,200 บาท เข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 8 ที่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสงขลา และแจ้งให้จำเลยที่ 8 เบิกถอนเงินดังกล่าวซื้อแคชเชียร์เช็คพิพาทจากธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสงขลา ระบุชื่อโจทก์ที่ 3 เป็นผู้รับเงินแล้วโอนเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ 3 ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาสามแยกสำโรง เพื่อเรียกเก็บเงิน ต่อมาธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสงขลา ทราบเรื่องการทุจริตฉ้อโกงของจำเลยที่ 9 ดังกล่าว จึงแจ้งให้จำเลยที่ 8 ทำเรื่องขออายัดแคชเชียร์เช็คพิพาทและระงับการจ่ายเงินตามคำขออายัดแคชเชียร์เช็คพิพาทของจำเลยที่ 8 และพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสิงหนคร นอกจากนี้ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสงขลา เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมเช็คที่โจทก์ที่ 3 สั่งจ่ายเช็ค 12,546,208 บาท แล้วถูกธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสงขลา ปฏิเสธการจ่ายเงินต่อมาวันที่ 25 เมษายน 2551 จำเลยที่ 8 ขอถอนคำร้องขออายัดแคชเชียร์เช็คพิพาทก่อนคดีนี้ โจทก์ทั้งสามเคยนำมูลหนี้คดีนี้ฟ้องจำเลยทั้งสิบเป็นคดีอาญาหลายคดีในความผิดฐานลักทรัพย์ ฉ้อโกงทรัพย์ ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค คงมีเฉพาะคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1263/2553 ของศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 9 กระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ คดีนี้ในส่วนของจำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 และที่ 10 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสามคู่ความมิได้อุทธรณ์ จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามหนังสือรับรอง โจทก์ที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 โดยไม่มีข้อจำกัดอำนาจหุ้นส่วนผู้จัดการและสามารถกระทำการแทนโจทก์ที่ 1 และที่ 2 โดยไม่จำต้องมีตราประทับสำคัญของโจทก์ที่ 1 และที่ 2โจทก์ที่ 3 เพียงคนเดียวจึงลงนามมอบอำนาจในฐานะกระทำการแทนโจทก์ที่ 1 และที่ 2 และในฐานะส่วนตัวของโจทก์ที่ 3 ได้ และตามหนังสือมอบอำนาจมีใจความชัดแจ้งว่า ขอมอบอำนาจให้นายอนันต์ เป็นตัวแทนฟ้องร้องดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสิบ อันเป็นการมอบอำนาจให้นายอนันต์ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ทั้งสามเพียงคดีเดียว ถือว่าเป็นการมอบอำนาจให้กระทำการครั้งเดียว และแม้โจทก์ทั้งสามมอบอำนาจในตราสารเดียวกันก็ต้องคิดตามรายบุคคล จึงต้องปิดอากรแสตมป์รายละ10 บาท ตามบัญชีอัตราแสตมป์ ลักษณะแห่งตราสาร ข้อ 7 (ก) ท้ายหมวด 6แห่งประมวลรัษฎากร ใบมอบอำนาจ ปิดอากรแสตมป์มา 30 บาท จึงครบถ้วนบริบูรณ์ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 108, 118 ส่วนการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ทั้งสามปิดอากรแสตมป์เพิ่มและขีดฆ่าก่อนมีคำพิพากษานั้น หามีผลทำให้หนังสือมอบอำนาจซึ่งเป็นตราสารใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้อยู่แล้วกลับเป็นใช้ไม่ได้แต่อย่างใดไม่กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งผิดหลงหรือไม่ ฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประการต่อไปว่า จำเลยที่ 1 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 9 รับผิดต่อโจทก์ที่ 3 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 หรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 มิได้เป็นคู่สัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงกับโจทก์ที่ 3 แต่เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายแคชเชียร์เช็คพิพาทระบุชื่อโจทก์ที่ 3 เป็นผู้รับเงิน จำเลยที่ 1 ย่อมต้องรับผิดจ่ายเงินตามเนื้อความในแคชเชียร์เช็คพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 3 ผู้ทรงโดยชอบและโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 และแม้การออกแคชเชียร์เช็คพิพาทเกิดจากการทำรายการเท็จทางบัญชีโดยทุจริตของจำเลยที่ 9 แต่จำเลยที่ 9 เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 ให้ทำหน้าที่บริการลูกค้าในการฝากถอนหรือโอนเงิน ถือได้ว่าจำเลยที่ 9 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นตัวการ จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดในความเสียหายที่จำเลยที่ 9 ผู้เป็นตัวแทนกระทำแก่โจทก์ที่ 3 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820, 822 ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลล่างทั้งสองนำเหตุทุจริตที่เกิดแก่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสิงหนคร มาใช้บังคับแก่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสงขลาซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จึงเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสิงหนครและธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสงขลา ต่างก็เป็นสาขาของธนาคารจำเลยที่ 1 ถือว่าเป็นบุคคลเดียวกัน ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสงขลา จึงหาใช่บุคคลภายนอกดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาไม่ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 8 ที่ 9 และที่ 10 ร่วมกันทำนิติกรรมอำพรางลวงเอาเงินของจำเลยที่ 1 ออกไปชำระหนี้แก่โจทก์ที่ 3 การชำระหนี้โดยแคชเชียร์เช็คพิพาทจึงตกเป็นโมฆะก็ดี โจทก์ที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 8 และที่ 10 ทำให้มีเงินหมุนเวียนในบัญชีของจำเลยที่ 8 เพื่อลวงเอาเงินของจำเลยที่ 1 ออกไปใช้โจทก์ทั้งสามฟ้องคดีนี้เพียงเพื่อเอาเงินจากจำเลยที่ 1 โดยปราศจากมูลทางกฎหมายโดยสุจริตก็ดีนั้น เห็นว่า ข้ออ้างตามฎีกาดังกล่าวจำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นเรื่องนอกคำให้การและนอกประเด็นข้อพิพาท ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา249 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ทั้งสามยื่นฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาเกี่ยวกับค่าเสียหายที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้แก่โจทก์ที่ 3 ว่า โจทก์ทั้งสามจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นการขายส่ง มิได้จำหน่ายโดยผ่านหัวจ่ายน้ำมันของโจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีสิทธิคิดค่าเสียหายจากส่วนต่างผลกำไรค่าการตลาดตามฟ้อง พยานหลักฐานโจทก์ทั้งสามไม่ปรากฏว่า ขณะจำเลยที่ 10 สั่งซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากโจทก์ทั้งสามไปให้จำเลยที่ 2 ค่าการตลาดคิดเป็นจำนวนเงินเท่าใด และที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ปฏิเสธการจ่ายเงินตามแคชเชียร์เช็คพิพาทเนื่องจากโจทก์ที่ 3 ไม่มีเงินในบัญชีในเวลาก่อนเที่ยงวันระบบเรียกเก็บเช็ค โจทก์ที่ 3 จึงต้องเสียค่าปรับเช็คหรือค่าธรรมเนียมการคืนเช็คให้แก่จำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า ฎีกาทั้งสองข้อดังกล่าวมีข้อความทั้งหมดเป็นไปในทำนองเดียวกับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ข้อ 13 ไม่มีเนื้อหาที่ยกเหตุผลขึ้นโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 9 ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยข้อเท็จจริงไม่ชอบด้วยเหตุผลหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ฎีกาทั้งสองข้อนี้จึงมิได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งซึ่งข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ทั้งสามยื่นฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสามสำหรับจำเลยที่ 8 และที่ 10 โจทก์ทั้งสามยังคงอุทธรณ์และฎีกา แม้ไม่กล่าวถึงจำเลยที่ 8 และที่ 10 ศาลสูงย่อมพิพากษาใหม่ให้ถูกต้องได้ เพราะการอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ทั้งสามเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น เห็นว่า การที่โจทก์ทั้งสามมิได้อุทธรณ์และฎีกาคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 8 และที่ 10 ถือว่าเป็นสิทธิของโจทก์ทั้งสาม และหาปรากฏว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใดไม่ เมื่อโจทก์ทั้งสามมิได้อุทธรณ์ คดีในส่วนจำเลยที่ 8 และที่ 10 ย่อมเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และมิใช่กรณีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ที่ศาลฎีกาจะพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 8 และที่ 10 ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 247 จึงไม่มีเหตุที่ศาลสูงจะนำมาพิจารณาและพิพากษาใหม่ได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามในประการแรกว่า การชำระราคาน้ำมันเชื้อเพลิงโดยแคชเชียร์เช็คพิพาทเป็นการชำระราคาให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ด้วย และเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ด้วย หรือไม่ เห็นว่า ข้อความที่โจทก์ทั้งสามฎีกาข้อนี้เป็นข้อความที่คัดลอกตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสาม ข้อ 5.1 หน้า 24 ถึง 39 โดยมีใจความสำคัญเหมือนกับอุทธรณ์ดังกล่าวทั้งหมด เพียงแต่เพิ่มเติมและตัดทอนข้อความที่เป็นรายละเอียดเล็กน้อยบางส่วน ไม่มีเนื้อหาโต้แย้งว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่ชอบด้วยเหตุผลหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไรเป็นฎีกาที่มิได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งซึ่งข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ทั้งสามยื่นฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามในประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 9 ต้องร่วมกันชำระค่าเสียหายในส่วนค่าขาดประโยชน์อันเป็นผลกำไรจากผลต่างหรือส่วนต่างของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าการตลาดให้แก่โจทก์ทั้งสามหรือไม่เพียงใด ปัญหาข้อนี้โจทก์ทั้งสามฎีกาว่า โจทก์ทั้งสามเสียโอกาสในค่าขาดประโยชน์อันเป็นผลกำไรจากผลต่างหรือส่วนต่างของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าการตลาด ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสามสามารถระดมเงินกู้เข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ที่ 3 โดยเพิ่มวงเงินกู้นั้น ไม่เป็นความจริง ความจริงคือโจทก์ทั้งสามและสามีโจทก์ที่ 3 ต้องระดมเงินทุนนอกระบบและยอมขายทรัพย์สินกับกิจการหลายอย่างเข้ามาหมุนเวียนในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ที่ 3 เพื่อพยุงให้กิจการดำเนินต่อไปได้ เห็นว่า เกี่ยวกับข้ออ้างตามฎีกาข้อนี้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า “…ที่นายอนันต์ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ทั้งสามเบิกความว่า พยานต้องระดมเงินกู้นอกระบบมาเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ของโจทก์ที่ 3 เพื่อให้เกิดสภาพคล่อง เป็นการเบิกความลอย ๆ โดยไม่มีเอกสารมาแสดง… โจทก์ที่ 3 จัดหาทุนสำรองในเวลาอันรวดเร็วเป็นเงินถึงสิบแปดล้านบาทเศษ ไม่ถึงกับต้องพึ่งพาเงินนอกระบบแต่อย่างใด แต่เป็นการขอวงเงินกระแสรายวันเพิ่มขึ้น…” ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสามมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสาม ข้อ 4.2 (ที่ถูกต้อง 5.2) หน้า 39 ถึง 57 มีเพียงใจความเกี่ยวกับพยานบุคคลและพยานเอกสารว่าโจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายในส่วนค่าขาดประโยชน์อันเป็นผลกำไรจากผลต่างหรือส่วนต่างของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าการตลาด ดังนี้ ที่โจทก์ทั้งสามฎีกาอ้างถึงการระดมเงินทุนนอกระบบและการขายทรัพย์สินกับกิจการหลายอย่างเข้ามาหมุนเวียนในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ที่ 3 จึงเป็นข้อที่โจทก์ทั้งสามมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 9 เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ทั้งสามยื่นฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่โจทก์ทั้งสาม ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ