คำวินิจฉัยที่ 54/2559

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

คดีที่โจทก์เป็นเอกชนฟ้องบังคับให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและจำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ชำระเงินแก่โจทก์ กรณีผิดสัญญาซื้อขายเครื่องถ่ายเอกสาร จึงต้องพิจารณาว่า สัญญาพิพาทดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า สัญญาพิพาทมีสาระสำคัญเพียงว่าให้โจทก์ส่งมอบเครื่องถ่ายเอกสาร ให้แก่จำเลยที่ ๑ เพื่อนำมาใช้ในการเรียนการสอนตามอำนาจหน้าที่ ดังนี้ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การปฏิบัติงานของจำเลยที่ ๑ เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพื่อความสะดวกของจำเลยที่ ๑ ในการปฏิบัติงานทางธุรการเท่านั้น ไม่มีลักษณะเป็นการให้โจทก์เข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะโดยตรง หรือลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ที่จะถือว่าเป็นสัญญาทางปกครอง อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๕๔/๒๕๕๙

วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๙

เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)

ศาลจังหวัดกันทรลักษ์
ระหว่าง
ศาลปกครองอุบลราชธานี

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดกันทรลักษ์โดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๘ ห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีสะเกษ ไอเฟค โจทก์ ยื่นฟ้อง โรงเรียนบ้านม่วง (รามคำแหงอนุสรณ์) ที่ ๑ นายบัวผัน ขันตี ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลจังหวัดกันทรลักษ์ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๙๘/๒๕๕๘ ความว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน และเป็นตัวแทนจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายเครื่องถ่ายเอกสาร ยี่ห้อฟูจิ รุ่น เอส ๒๐๑๐ จำนวน ๑ เครื่อง ราคา ๗๘,๐๐๐ บาท จากโจทก์ กำหนดชำระราคาภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันรับสินค้า โจทก์ได้ส่งมอบเครื่องถ่ายเอกสารดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๑ โดยมีตัวแทนลงลายมือชื่อรับสินค้าไว้แทน เมื่อถึงกำหนดจำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้ โจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๗๘,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยตกลงทำสัญญาซื้อขายเครื่องถ่ายเอกสารยี่ห้อ ฟูจิ รุ่นเอส ๒๐๑๐ กับโจทก์ การซื้อขายเครื่องถ่ายเอกสารระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ยังไม่เกิดขึ้น เนื่องจากยังมิได้ดำเนินการตามระเบียบของทางราชการ ทั้งไม่เคยมีหนังสือไปขอให้โจทก์เสนอราคา โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นการใช้สิทธิจากการลวงขายสินค้าโดยไม่สุจริต เอกสารใบส่งสินค้า/ใบกำกับภาษีที่โจทก์นำไปใช้เป็นหลักฐานฟ้องจำเลยทั้งสองนั้น โจทก์ได้แก้ไขเพิ่มเติมข้อความลงในเอกสารโดยไม่ชอบ และไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลจังหวัดกันทรลักษ์พิจารณาแล้ว เห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นส่วนราชการสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ จำเลยที่ ๑ จึงมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ สัญญาซื้อขายเครื่องถ่ายเอกสารระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นสัญญาที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่สัญญาดังกล่าวไม่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน หรือสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ หรือเป็นสัญญาที่หน่วยงานทางปกครองให้คู่สัญญาอีกฝ่ายเข้าดำเนินการ หรือเข้าร่วมดำเนินการบริการสาธารณะโดยตรง หรือเพื่อให้การดำเนินกิจการทางปกครองอันเป็นบริการสาธารณะบรรลุผล หรือเป็นสัญญาที่มีข้อกำหนดในสัญญาซึ่งมีลักษณะพิเศษที่แสดงถึงเอกสิทธิ์ของรัฐซึ่งก่อให้เกิดความไม่เสมอภาคกันระหว่างคู่สัญญาแต่อย่างใด แต่เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทำขึ้นบนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมกัน จึงเป็นสัญญาจัดหาพัสดุธรรมดา ซึ่งเป็นสัญญาทางแพ่งที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองเท่านั้น ดังนั้น คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายเครื่องถ่ายเอกสารดังกล่าวจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองอุบลราชธานีพิจารณาแล้ว เห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ ๑ เป็นสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นส่วนราชการสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ จำเลยที่ ๑ จึงเป็นหน่วยงานทางปกรอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยมาตรา ๓๔ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ประกอบกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ กำหนดให้จำเลยที่ ๑ มีอำนาจหน้าที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน อันเป็นบริการสาธารณะของรัฐ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ส่งมอบเครื่องถ่ายเอกสาร ฟูจิ รุ่นเอส ๒๐๑๐ ให้แก่จำเลยที่ ๑ แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระค่าเครื่องถ่ายเอกสารดังกล่าวให้แก่โจทก์ เครื่องถ่ายเอกสารในสภาพปัจจุบันถือได้ว่า เป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่สำคัญหรือจำเป็นต่อการจัดการเรียนการสอน อันเป็นการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาของนักเรียน เป็นต้นว่า ทำสำเนารูปภาพ ทำสำเนาเอกสารต่างๆ เพื่อเป็นสื่อในการเรียนการสอน รวมทั้งทำสำเนาแบบทดสอบเพื่อการวัดผล ประเมินผลการเรียนการสอน คดีนี้โจทก์อ้างว่า โจทก์ส่งมอบเครื่องถ่ายเอกสารตามสัญญาซื้อขายให้แก่จำเลยที่ ๑ แล้ว แต่จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ไม่ชำระค่าเครื่องถ่ายเอกสารให้แก่โจทก์ ซึ่งจำเลยทั้งสองให้การว่า สัญญาซื้อขายเครื่องถ่ายเอกสารระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองยังไม่เกิดขึ้น เนื่องจากจำเลยทั้งสองยังมิได้ตกลงซื้อกับโจทก์ จึงเป็นกรณีที่คู่ความพิพาทกันเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายเครื่องถ่ายเอกสารดังกล่าว เมื่อสัญญาซื้อขายเครื่องถ่ายเอกสารระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นสัญญาที่มีวัตถุแห่งสัญญาเพื่อจัดให้มีเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่สำคัญหรือจำเป็นต่อการจัดทำบริการสาธารณะที่อยู่ในอำนาจของจำเลยที่ ๑ ให้บรรลุผล สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ส่งมอบเครื่องถ่ายเอกสารให้แก่จำเลยที่ ๑ แล้ว แต่จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ผิดนัดไม่ชำระราคาเครื่องถ่ายเอกสารให้แก่โจทก์ ขอให้จำเลยทั้งสองชำระราคาเครื่องถ่ายเอกสารพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและจำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ชำระเงินแก่โจทก์ กรณีผิดสัญญาซื้อขายเครื่องถ่ายเอกสาร ยี่ห้อฟูจิ รุ่นเอส ๒๐๑๐ จำนวน ๑ เครื่อง จึงต้องพิจารณาว่า สัญญาพิพาทดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ บัญญัติให้สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ จำเลยที่ ๑ เป็นสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นส่วนราชการสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยมาตรา ๓๔ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ประกอบกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดหลักเกณฑ์ แนวทาง และดำเนินการเกี่ยวกับการสนับสนุนทรัพยากร การจัดตั้ง จัดสรรทรัพยากร และบริหารงบประมาณอุดหนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน การพัฒนาระบบการบริหาร และส่งเสริม ประสานงานเครือข่ายข้อมูลสารสนเทศ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปใช้ในการเรียนการสอน รวมทั้งส่งเสริมการนิเทศการบริหารและการจัดการศึกษา และการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา ฯลฯ ตามข้อ ๑ ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่สัญญาพิพาทมีสาระสำคัญเพียงว่าให้โจทก์ส่งมอบเครื่องถ่ายเอกสาร จำนวน ๑ เครื่อง ให้แก่จำเลยที่ ๑ เพื่อนำมาใช้ในการเรียนการสอนตามอำนาจหน้าที่ ดังนี้ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การปฏิบัติงานของจำเลยที่ ๑ เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพื่อความสะดวกของจำเลยที่ ๑ ในการปฏิบัติงานทางธุรการเท่านั้น ไม่มีลักษณะเป็นการให้โจทก์เข้าร่วมจัดทำบริการสาธารณะโดยตรง หรือลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ที่จะถือว่าเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง ห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีสะเกษ ไอเฟค โจทก์ โรงเรียนบ้านม่วง (รามคำแหงอนุสรณ์) ที่ ๑ นายบัวผัน ขันตี ที่ ๒ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) วีระพล ตั้งสุวรรณ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายวีระพล ตั้งสุวรรณ) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ปิยะ ปะตังทา (ลงชื่อ) ชาญชัย แสวงศักดิ์
(นายปิยะ ปะตังทา) (นายชาญชัย แสวงศักดิ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share