คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1979/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม พ.ร.บ.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ.2530 มาตรา 24 สิทธิเรียกร้องเงินจากกองทุนตามมาตรา 23 และมาตรา 23/3 ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี โดยมาตรา 23/3 บัญญัติให้ลูกจ้างมีสิทธิคงเงินทั้งหมดที่มีสิทธิจะได้รับไว้ในกองทุนและคงการเป็นสมาชิกต่อไป ซึ่งเป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่ลูกจ้างเพื่อสร้างความต่อเนื่องของการออมเงินโดยผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คดีนี้เมื่อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ส. ซึ่งจดทะเบียนแล้ว ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินสะสมด้วยเหตุออกจากงานให้แก่โจทก์ไว้ก่อนศาลมีคำพิพากษา จึงเป็นกรณีที่โจทก์ได้ใช้สิทธิขอรับเงินสะสมจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามมาตรา 23 วรรคหนึ่ง หาใช่เป็นกรณีที่ลูกจ้างสิ้นสมาชิกภาพเพราะออกจากงานแล้วใช้สิทธิคงเงินทั้งหมดที่จะได้รับไว้ในกองทุนและคงการเป็นสมาชิกต่อไปตามมาตรา 23/3 เงินดังกล่าวจึงไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามมาตรา 24

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างชำระและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยให้การ แก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์มิได้กระทำความผิดต่อจำเลย จำเลยไม่มีอำนาจฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลแรงงานภาค 3 มีคำสั่งอายัดเงินจำนวน 147,151.57 บาท ซึ่งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสินสถาพร ซึ่งจดทะเบียนแล้ว จะจ่ายให้แก่โจทก์ เนื่องจากโจทก์ออกจากงานและลาออกจากการเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสินสถาพร ซึ่งจดทะเบียนแล้ว และแจ้งให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพดังกล่าวจ่ายเงินสะสมให้แก่โจทก์จึงเข้าลักษณะที่โจทก์ตั้งใจจะยักย้ายทรัพย์สินของตน จึงขอให้อายัดเงินสะสมดังกล่าวไว้ก่อนศาลจะมีคำพิพากษา
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนศาลมีคำพิพากษาว่า โจทก์ไม่มีเจตนายักย้ายทรัพย์สินตามที่จำเลยกล่าวอ้าง เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในส่วนของลูกจ้างที่มีสิทธิได้รับเมื่อลาออกหรือถูกเลิกจ้างมีลักษณะเป็นเบี้ยเลี้ยงชีพ จึงเป็นเงินหรือสิทธิเรียกร้องเป็นเงินของลูกหนี้ จึงไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ขอให้ยกคำร้อง
ศาลแรงงานภาค 3 ไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 3 รับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ลาออกจากงานและลาออกจากการเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสินสถาพร ซึ่งจดทะเบียนแล้ว จึงมีสิทธิได้รับเงินที่โจทก์สะสมไว้เองจากกองทุนดังกล่าวเป็นเงิน 147,151.57 บาท ตามเช็คและรายงานการสิ้นสุดสมาชิกภาพ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยมีสิทธิขออายัดเงินสะสมของโจทก์ไว้ชั่วคราวก่อนศาลมีคำพิพากษาหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์อ้างว่า โจทก์ออกจากงานและลาออกจากการเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสินสถาพร ซึ่งจดทะเบียนแล้ว แล้วโจทก์แจ้งให้กองทุนดังกล่าวจ่ายเงินสะสมให้แก่โจทก์เองโดยจ่ายเงินตามเช็คให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์มิได้คงเงินทั้งหมดที่มีสิทธิจะได้รับไว้ในกองทุนและคงการเป็นสมาชิกไว้ต่อไป ดังนั้น เงินดังกล่าวจึงไม่อยู่ในความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ.2530 มาตรา 23/3 และมาตรา 24 จึงต้องอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีนั้น เห็นว่า มาตรา 23/3 ของบทกฎหมายดังกล่าวบัญญัติให้ลูกจ้างมีสิทธิคงเงินทั้งหมดที่มีสิทธิจะได้รับไว้ในกองทุนและคงการเป็นสมาชิกต่อไป ซึ่งเป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่ลูกจ้างเพื่อสร้างความต่อเนื่องของการออมเงินโดยผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คดีนี้เมื่อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสินสถาพร ซึ่งจดทะเบียนแล้ว ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินให้แก่โจทก์ ไว้ก่อนศาลมีคำพิพากษา กรณีจึงเป็นการที่โจทก์ได้ใช้สิทธิตามมาตรา 23 วรรคหนึ่ง หาใช่การใช้สิทธิคงเงินตามมาตรา 23/3 ดังที่จำเลยอุทธรณ์อ้างมาไม่ เงินดังกล่าวจึงไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามมาตรา 24 แล้ว ที่ศาลแรงงานภาค 3 มีคำสั่งว่าจำเลยไม่มีอำนาจอายัดสิทธิเรียกร้องของโจทก์และให้ยกคำร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share