คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1140/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ที่ 1 กับ อ. จดทะเบียนการหย่าโดยชอบด้วยกฎหมาย และมีการทำบันทึกแบ่งสินสมรส ให้ อ. ดำเนินการเกี่ยวกับสินสมรสและภาระหนี้สินที่มีอยู่ทั้งหมดให้เสร็จสิ้นโดยไม่ชักช้า หากยังมีเหลืออยู่เท่าใด อ. จะยกให้แก่บุตรทั้งสอง อ. ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาโอนสิทธิการเก็บค่าเช่ากับจำเลยที่ 2 ซึ่งตามสัญญา ในข้อ 1 ระบุว่าผู้โอนสิทธิเป็นผู้มีสิทธิในการเก็บค่าเช่าห้องพักบนที่ดิน เมื่อที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินตามบันทึกแบ่งสินสมรส ซึ่ง อ. ทราบอยู่แล้วว่าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ที่ 1 กับ อ. การที่ อ. ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาโอนสิทธิการเก็บค่าเช่า โดยโจทก์ที่ 1 ไม่ทราบเรื่องและไม่ให้ความยินยอมด้วย สัญญาดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสอง

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงิน 17,800,000 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละกึ่งหนึ่ง พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นัดถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และคืนห้องเช่าทั้งหมดให้แก่โจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินค่าเช่าเดือนละ 396,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องหากจำเลยทั้งสองยังคงร่วมกันเก็บค่าเช่าอยู่ จนกว่าจำเลยทั้งสองจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับค่าเช่าห้องดังกล่าว ให้จำเลยที่ 1 คืนรถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู หมายเลขทะเบียน 2 ฐ – 7111 (ที่ถูก 2 ฐ – 1711) กรุงเทพมหานคร แก่โจทก์ทั้งสอง หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 700,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้เพิกถอนสัญญาโอนสิทธิการเก็บค่าเช่าระหว่างนายอภิชัยกับจำเลยที่ 2 ฉบับลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2547
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 2 ฐ – 7111 (ที่ถูก 2 ฐ – 1711) กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ที่ 2 หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 700,000 บาท ให้จำเลยที่ 2 คืนเงิน 8,910,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ นอกเหนือจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 ที่ให้จำเลยที่ 1 คืนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 2 ฐ – 1711 กรุงเทพมหานคร และที่ให้จำเลยที่ 2 คืนเงินค่าเช่า 8,910,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ที่ 2 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เดิมโจทก์ที่ 1 กับนายอภิชัย เป็นสามีภริยากันและจดทะเบียนสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายมีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ โจทก์ที่ 2 และนายชัยวุฒิ ที่ดินโฉนดเลขที่ 48317 ตำบลทุ่งศุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 14 ไร่ 67 ตารางวา ตามสำเนาโฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นห้องพักให้เช่าจำนวน 396 ห้อง เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ที่ 1 กับนายอภิชัย ต่อมาวันที่ 20 มกราคม 2546 โจทก์ที่ 1 กับนายอภิชัยจดทะเบียนหย่า ตามสำเนาทะเบียนหย่าและสำเนาบันทึกแบ่งสินสมรส วันที่ 8 มกราคม 2549 นายอภิชัยถึงแก่ความตาย โดยก่อนตายเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2548 นายอภิชัยได้ทำพินัยกรรมไว้ ตามสำเนาพินัยกรรม วันที่ 24 มีนาคม 2552 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งโจทก์ที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของนายอภิชัยและตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับโจทก์ที่ 2 เฉพาะทรัพย์สินที่จำเลยที่ 1 ได้รับ ตามพินัยกรรมตามสำเนาคำสั่ง วันที่ 30 มิถุนายน 2552 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนข้อกำหนดในพินัยกรรม ตามสำเนาคำพิพากษา และวันที่ 20 พฤษภาคม 2554 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เพิกถอนพินัยกรรม คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา วันที่ 30 เมษายน 2556 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ถอนจำเลยที่ 1 ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายอภิชัย โจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินค่าเช่าและให้จำเลยที่ 1 คืนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 2 ฐ – 1711 กรุงเทพมหานคร แก่โจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 เก็บค่าเช่าตามฟ้อง
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยที่ 2 ต้องคืนเงินค่าเช่าตามฟ้องให้แก่โจทก์ที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์ที่ 1 กับนายอภิชัยจดทะเบียนการหย่าโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และมีการทำบันทึกแบ่งสินสมรส โดยข้อ 1 โจทก์ที่ 1 ยินยอมให้สินสมรสที่มีอยู่ทั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายอภิชัย ข้อ 5 มีข้อความว่า ฝ่ายหญิงยินยอมที่จะลงนามเอกสารและมอบเอกสารต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในการทำนิติกรรมเกี่ยวกับสินสมรสที่ฝ่ายหญิงเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพื่อให้ฝ่ายชายดำเนินการเกี่ยวกับสินสมรสและภาระหนี้สินที่มีอยู่ทั้งหมดให้เสร็จสิ้นโดยไม่ชักช้า และในวันทำบันทึกนี้ฝ่ายหญิงได้ลงนามในหนังสือมอบอำนาจที่ดิน พร้อมมอบสำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาใบเปลี่ยนชื่อให้แก่ฝ่ายชายเพื่อทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินตามที่ระบุไว้รวม 4 แปลง ถือว่าโจทก์ที่ 1 ได้ปฏิบัติตามบันทึกการแบ่งสินสมรสข้อ 1 แล้ว หลังจากนั้นจึงเป็นหน้าที่ของนายอภิชัยที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อ 2 และข้อ 3 คือภาระหนี้สินต่าง ๆ ที่มีอยู่เหนือสินสมรส นายอภิชัยตกลงเป็นผู้รับผิดชอบ โดยเมื่อนายอภิชัยนำสินสมรสตามข้อ 1 ไปชำระหนี้หรือหักกลบลบหนี้กับภาระหนี้สินต่าง ๆ ที่มีอยู่ตามข้อ 2 ครบถ้วน หากยังมีเหลืออยู่เท่าใด นายอภิชัยจะยกให้แก่บุตรทั้งสอง ดังนั้นการที่นายอภิชัยทำหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2547 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาโอนสิทธิการเก็บค่าเช่าที่แหลมฉบังชลบุรีกับจำเลยที่ 2 ซึ่งตามสัญญาโอนสิทธิการเก็บค่าเช่า ในข้อ 1 ระบุว่าผู้โอนสิทธิเป็นผู้มีสิทธิในการเก็บค่าเช่าห้องพักจำนวน 396 ห้อง บนที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 48317 ตำบลทุ่งศุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เมื่อที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินตามบันทึกแบ่งสินสมรสข้อ 5 ซึ่งนายอภิชัยทราบอยู่แล้วว่าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ที่ 1 กับนายอภิชัยและโจทก์ที่ 1 ได้ลงนามในเอกสารเพื่อให้นายอภิชัยทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวตามบันทึกแบ่งสินสมรสข้อ 1 การที่นายอภิชัยทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาโอนสิทธิการเก็บค่าเช่า โดยโจทก์ที่ 1 ไม่ทราบเรื่องและไม่ให้ความยินยอมด้วย สัญญาดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า นายอภิชัยทำสัญญาโอนสิทธิการเช่าให้แก่จำเลยที่ 2 ถือเป็นการบริหารจัดการสินสมรสไม่เป็นการขัดกับบันทึกการแบ่งสินสมรสนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share