คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7603/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทคดีนี้กับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3824/2558 เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน เมื่อคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ย่อมผูกพันจำเลยซึ่งเป็นคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ข้อเท็จจริงรับฟังตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าวว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 3815 เนื้อที่ 66 ตารางวา ถูกแบ่งแยกไว้เพื่อให้ที่ดินแปลงจัดสรรใช้เป็นทางเข้าออกสู่สาธารณะโดยเจ้าของที่ดินจัดสรรได้ใช้ทางดังกล่าวเป็นทางออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ตลอดมาก่อนจำเลยทำประตูและรั้วปิดกั้นทางพิพาท เมื่อที่ดินโฉนดเลขที่ 3815 เป็นทางส่วนบุคคลที่เจ้าของมีเจตนาแบ่งแยกให้เป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินแปลงจัดสรรและมีการใช้ประโยชน์เป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินแปลงจัดสรรมาแล้วเป็นเวลา 10 ปี ก่อนที่จำเลยจะทำประตูกั้นทาง ถนนซอยตามโฉนดเลขที่ 3815 ตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินแปลงจัดสรรที่อยู่ข้างเคียงโดยอายุความแล้ว เมื่อที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดที่ดินดังกล่าวจึงตกเป็นทางภาระจำยอมด้วยซึ่งความเป็นภารยทรัพย์นี้ ย่อมตกติดไปกับตัวทรัพย์นั้น โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่า กรรมสิทธิ์ในที่ดินภารยทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้ตกเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ในเวลาต่อมาแต่อย่างใด ขณะ ส. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 7784 ส. ได้ใช้ที่ดินพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ตลอดมาเกิน 10 ปี แสดงว่า ส. ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทในลักษณะที่เป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของตน ดังนั้น ที่ดินพิพาทตามที่ดินโฉนดเลขที่ 3815 ตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 7784 ด้วย โจทก์ได้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 7784 อันเป็นสามยทรัพย์มาจาก ส. ภาระจำยอมที่มีอยู่ในที่ดินพิพาทของจำเลยย่อมติดไปกับสามยทรัพย์ที่โอนด้วย โจทก์จึงมีสิทธิใช้ประโยชน์ในทางพิพาทอันเป็นภาระจำยอม การที่จำเลยทำประตูเลื่อนปิดเปิดและกำแพงรั้วสังกะสีปิดกั้นทางพิพาท ย่อมทำให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกแก่โจทก์ อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของเจ้าของสามยทรัพย์แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิขอให้จำเลยเปิดที่ดินพิพาทเพื่อใช้เป็นทางรถยนต์เข้าออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 3815 ตำบลบางขุนนนท์ อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร และที่ดินทางพิพาทบริเวณหน้าที่ดินของจำเลยซึ่งจำเลยได้กรรมสิทธิ์มาตามคำสั่งศาลเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยเปิดประตูเลื่อนและกำแพงรั้วสังกะสีที่ปิดกั้นทางพิพาทไว้ กับห้ามจำเลยขัดขวางการใช้ทางพิพาทของโจทก์อีกต่อไป และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ 1,000 บาท จนกว่าจะเปิดทางพิพาท
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษาให้ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 3815 บริเวณหน้าที่ดินของจำเลยซึ่งจำเลยได้กรรมสิทธิ์ตามคำสั่งศาล ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 409/2554 ตกเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 7784 และให้จำเลยเปิดประตูเลื่อนและรื้อกำแพงรั้วสังกะสีที่ปิดกั้นทางไว้ ทั้งห้ามจำเลยขัดขวางการใช้ทางพิพาทของโจทก์ กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 10,000 บาท ส่วนที่โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาให้ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 3815 ในส่วนที่อื่นที่ไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยตกเป็นทางจำเป็นนั้น เนื่องจากที่ดินในส่วนอื่นเป็นของนางวิไล เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องนางวิไลต่อศาลจึงไม่อาจพิพากษาในส่วนนี้ได้ ให้ยกคำขอดังกล่าว
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาและคำสั่งงดสืบพยาน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยาน และยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์และจำเลยต่อไปแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 3815 ตำบลบางขุนนนท์ อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร บริเวณหน้าที่ดินของจำเลยซึ่งจำเลยได้กรรมสิทธิ์ตามคำสั่งศาล ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 409/2554 ตกเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 7784 ตำบลบางขุนนนท์ อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร และให้จำเลยเปิดประตูเลื่อนและรื้อกำแพงรั้วสังกะสีที่ปิดกั้นทางไว้ ทั้งห้ามไม่ให้จำเลยขัดขวางการใช้ทางพิพาทของโจทก์ กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสองศาลเป็นเงิน 4,500 บาท ส่วนที่โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาให้ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 3815 ตำบลบางขุนนนท์ อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ในส่วนที่อื่นที่ไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยตกเป็นทางจำเป็นนั้น เนื่องจากที่ดินในส่วนอื่นเป็นของนางวิไลเมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องนางวิไลต่อศาลจึงไม่อาจพิพากษาในส่วนนี้ได้ ให้ยกคำขอดังกล่าว
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอโจทก์ที่ขอให้ที่ดินพิพาทตกเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 7784 ตำบลบางขุนนนท์ อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ และให้จำเลยเปิดประตูเลื่อนและรื้อกำแพงรั้วสังกะสีที่ปิดกั้นทางไว้เสียด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 3815 เป็นของนายจำนงค์ ต่อมานายจำนงค์ได้แบ่งที่ดินแปลงดังกล่าวออกเป็นโฉนดเลขที่ 7782 ถึง 7784 โดยโฉนดที่ดินเลขที่ 7782 และ 7783 อยู่ติดกับลำกระโดงสาธารณประโยชน์ นายจำนงค์ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 7784 ให้นายสมปองพี่ชายจำเลย วันที่ 22 กันยายน 2553 โจทก์กับพวกซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 7784 ตามคำสั่งศาลจากนายสมปอง สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 3815 ส่วนที่เหลือจากการแบ่งแยกออกเป็นโฉนดเลขที่ 7782 ถึง 7784 นั้น นายจำนงค์ขายให้นางวิไล ต่อมานางวิไลได้แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 23157 ถึง 23160 เพื่อจัดสรรขายโดยนางวิไลได้สร้างถนนเพื่อใช้เป็นทางรถยนต์ผ่านหน้าที่ดินทั้งสี่แปลงเพื่อเป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ด้านทิศตะวันออกบนที่ดินโฉนดเลขที่ 3815 เนื้อที่ 66 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินส่วนที่เหลือจากการแบ่งแยกออกเป็นสี่โฉนดดังกล่าว วันที่ 22 สิงหาคม 2521 จำเลยซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 23160 พร้อมบ้านเลขที่ 394/3 จากนางวิไล แล้วสร้างกำแพงรั้วสังกะสีและประตูเลื่อนปิดเปิดขวางทางเข้าออกสู่ทางสาธารณประโยชน์บริเวณหน้าที่ดินจำเลย ต่อมาจำเลยร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3815 เฉพาะส่วนที่อยู่หน้าที่ดินจำเลยเนื้อที่ประมาณ 10 ตารางวา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 3815 เนื้อที่ 66 ตารางวา และศาลชั้นต้นมีคำสั่งถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยตามคำร้องขอ หลังจากนั้นจำเลยได้ขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทแต่นายรัตนโชติ กับนางสาวอัฑฒนี เจ้าของที่ดินแปลงที่นางวิไลจัดสรรขายคัดค้านและขอให้ถนนพิพาทเป็นทางที่ใช้ร่วมกัน คดีถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3824/2558
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิขอให้จำเลยรื้อกำแพงรั้วสังกะสีและเปิดประตูเลื่อนที่ปิดกั้นทางพิพาทเพื่อให้โจทก์ใช้ที่ดินพิพาทเป็นทางรถยนต์เข้าออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ได้หรือไม่ เห็นว่า ที่ดินพิพาทคดีนี้กับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3824/2558 เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน เมื่อคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ย่อมผูกพันจำเลยซึ่งเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ข้อเท็จจริงรับฟังตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าวว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 3815 เนื้อที่ 66 ตารางวา ถูกแบ่งแยกไว้เพื่อให้ที่ดินแปลงจัดสรรใช้เป็นทางเข้าออกสู่สาธารณะโดยเจ้าของที่ดินจัดสรรได้ใช้ทางดังกล่าวเป็นทางออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ตลอดมาก่อนจำเลยทำประตูและรั้วปิดกั้นทางพิพาท เมื่อที่ดินโฉนดเลขที่ 3815 เป็นทางส่วนบุคคลที่เจ้าของมีเจตนาแบ่งแยกให้เป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินแปลงจัดสรรและมีการใช้ประโยชน์เป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินแปลงจัดสรรมาแล้วเป็นเวลา 10 ปี ก่อนที่จำเลยจะทำประตูกั้นทาง ถนนซอยตามโฉนดเลขที่ 3815 ตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินแปลงจัดสรรที่อยู่ข้างเคียงโดยอายุความแล้ว เมื่อที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดที่ดินดังกล่าวจึงตกเป็นทางภาระจำยอมด้วยซึ่งความเป็นภารยทรัพย์นี้ ย่อมตกติดไปกับตัวทรัพย์นั้น โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่า กรรมสิทธิ์ในที่ดินภารยทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้ตกเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ในเวลาต่อมาแต่อย่างใด ขณะนายสมปองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 7784 นายสมปองได้ใช้ที่ดินพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ตลอดมาเกิน 10 ปี แสดงว่านายสมปองได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทในลักษณะที่เป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของตน ดังนั้น ที่ดินพิพาทตามที่ดินโฉนดเลขที่ 3815 ตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 7784 ด้วย โจทก์ได้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 7784 อันเป็นสามยทรัพย์มาจากนายสมปอง ภาระจำยอมที่มีอยู่ในที่ดินพิพาทของจำเลยย่อมติดไปกับสามยทรัพย์ที่โอนด้วย โจทก์จึงมีสิทธิใช้ประโยชน์ในทางพิพาทอันเป็นภาระจำยอม การที่จำเลยทำประตูเลื่อนปิดเปิดและกำแพงรั้วสังกะสีปิดกั้นทางพิพาท ย่อมทำให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกแก่โจทก์ อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของเจ้าของสามยทรัพย์แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิขอให้จำเลยเปิดที่ดินพิพาทเพื่อใช้เป็นทางรถยนต์เข้าออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ได้
พิพากษากลับว่า ให้ที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 10 ตารางวา ที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ทั้งแปลง ตกอยู่ในภาระจำยอมเป็นทางเข้าออกถนนสาธารณะแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 7784 ตำบลบางขุนนนท์ อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ ให้จำเลยเปิดประตูเลื่อนและกำแพงรั้วสังกะสีที่ปิดกั้นทางไว้ทั้งห้ามไม่ให้จำเลยขัดขวางการใช้ทางพิพาทโจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share