คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10008/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ผู้เยาว์บุตรจำเลยที่ 2 ที่ 3 ขับรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนรถยนต์ที่ อ. ขับซึ่งเอาประกันภัยไว้กับโจทก์ เป็นเหตุให้รถยนต์ได้รับความเสียหาย พนักงานสอบสวนทำบันทึกตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีว่า อ. ไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด โดยคู่กรณีลงลายมือชื่อเป็นหลักฐาน จึงเป็นการระงับข้อพิพาทให้เสร็จไป มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 เป็นผลให้ อ. ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ได้อีก ที่โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายให้ อ. เป็นการปฏิบัติตามข้อสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัย ข้อสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัยไม่ได้จำกัดสิทธิ์ อ. หรือผู้เสียหายที่จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยเนื่องจากมูลหนี้ละเมิดระงับไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงิน 195,155.60 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 193,880.77 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 193,880.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 มกราคม 2552 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ (ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 1,274.83 บาท) กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 9,500 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เสียด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 4 ในศาลชั้นต้นให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 ไม่ฎีกาโต้แย้งฟังยุติว่า เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2551 เวลาประมาณ 22 นาฬิกาจำเลยที่ 1 ผู้เยาว์ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ลรล กรุงเทพมหานคร 0673 โดยประมาทเฉี่ยวชนรถยนต์หมายเลขทะเบียน วย 1711 กรุงเทพมหานคร ที่มีนายแอนดริว เป็นคนขับและเอาประกันภัยไว้กับโจทก์ที่บริเวณถนนสนามบินสุวรรณภูมิ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เป็นเหตุให้รถยนต์ได้รับความเสียหาย โจทก์ได้ชดใช้ค่าเสียหายซึ่งเป็นค่าซ่อมแซมรถยนต์คันดังกล่าว 193,880.77 บาท ให้แก่นายแอนดริวแล้ว สำหรับคดีในส่วนของจำเลยที่ 4 นั้นยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่ามูลหนี้ละเมิดจากการที่รถเฉี่ยวชนกันระงับไปแล้วหรือไม่ เห็นว่า หลังเกิดเหตุนายแอนดริวและจำเลยที่ 1 ไปพบร้อยตำรวจเอกวิโรจน์ พนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรบางพลีและทำบันทึกเกี่ยวกับรถเฉี่ยวกันตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี มีข้อความส่วนที่เป็นสาระสำคัญว่า “นายแอนดริวไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายจากนายประสิทธิ์แต่อย่างใด” ซึ่งข้อความดังกล่าวมีความหมายชัดเจนในตัว เมื่อพิจารณาประกอบพฤติการณ์ที่เกิดขึ้น ปรากฏว่านายแอนดริวทราบก่อนทำเอกสาร แล้วว่านายประสิทธิ์หรือจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายขับรถประมาทและเป็นฝ่ายกระทำละเมิดซึ่งต้องรับผิดในเรื่องค่าเสียหาย แต่นายแอนดริวยังคงตกลงยินยอมที่จะไม่เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนใด ๆ จากจำเลยที่ 1 และลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานเช่นนี้เป็นการสละสิทธิเรียกร้องเพื่อระงับข้อพิพาทให้เสร็จไปโดยยอมผ่อนผันให้แก่กัน เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ซึ่งเป็นผลให้มูลหนี้ละเมิดจากการที่รถเฉี่ยวชนกันระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 852 โจทก์ไม่อาจรับช่วงสิทธิของนายแอนดริวผู้เอาประกันภัยที่จะเรียกร้องค่าเสียหายรถเฉี่ยวชนกันจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ ที่โจทก์อ้างว่าข้อความส่วนที่เป็นสาระสำคัญดังกล่าวมีความหมายเพียงว่านายแอนดริวไม่ต้องการเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ด้วยตนเองเท่านั้น ก็ไม่ปรากฏพยานหลักฐานหรือพฤติการณ์แวดล้อมสนับสนุน ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share