คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ซึ่งเป็นบิดาของจำเลยฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาแล้วให้จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแทนโจทก์ ต่อมาโจทก์ให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินพิพาท และนำที่ดินที่แบ่งแยกขายให้แก่นางสาว ก. แต่จำเลยได้รับเงินค่าที่ดินแล้วจำเลยไม่นำเงินมาให้แก่โจทก์ และเมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนโจทก์ จำเลยเพิกเฉย ส่วนจำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท มิได้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนโจทก์ คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยถือกรรมสิทธิ์และขายที่ดินพิพาทแทนโจทก์หรือไม่ และจำเลยต้องคืนเงินที่ได้จากการขายที่ดินให้แก่โจทก์หรือไม่ อันเป็นปัญหาที่ต้องบังคับตาม ป.พ.พ. ว่าด้วยตัวแทน บรรพ 3 ลักษณะ 15 ไม่ได้เป็นเรื่องบังคับตาม ป.พ.พ. บรรพ 5 แต่อย่างใด คดีนี้จึงไม่เป็นคดีครอบครัวตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 10 (3)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 40709 ตำบลเขากะลา อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์จากนายจรุญ บุญเกตุ บิดาโจทก์ ราคา 1,000,000 บาท โดยให้จำเลยทำนิติกรรมจดทะเบียนเป็นผู้ซื้อที่ดิน และกู้เงินจากธนาคารรวมทั้งจดทะเบียนจำนองเพื่อเป็นประกันเงินกู้จำนวน 600,000 บาท แทนโจทก์ เงินกู้จำนวนดังกล่าวโจทก์นำไปชำระค่าที่ดินให้แก่นายจรุญ และบางส่วนโจทก์ผ่อนชำระ คงเหลือหนี้ค้างชำระ 200,000 บาท ต่อมาโจทก์ให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวเป็น 2 แปลงคือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 54042 ซึ่งโจทก์ขายให้แก่นางสาวกนกวรรณ อำภูธร ในราคา 1,800,000 บาท ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 40709 แปลงเดิมคงเหลือที่ดิน 15 ไร่ 5 ตารางวา นางกนกวรรณ จ่ายเงินให้แก่โจทก์ 700,000 บาทก่อนเพื่อให้โจทก์นำไปให้จำเลยนำเงินไปไถ่ถอนและแบ่งแยกที่ดิน เมื่อจำเลยได้รับเงินจากการขายที่ดินส่วนที่เหลือ 1,100,000 บาท จากนางกนกวรรณ จำเลยนำเงิน 200,000 บาท ไปชำระค่าที่ดินที่ค้างชำระส่วนที่เหลือให้แก่นายจรุญ 200,000 บาท ส่วนเงินที่เหลือ 900,000 บาท จำเลยไม่นำเงินมาคืนให้แก่โจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินจำนวน 900,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องคืนให้แก่โจทก์ และให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 40709 เป็นชื่อโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้ซื้อที่ดินจากนายจรุญ บุญเกตุ มิใช่โจทก์ และโจทก์ไม่เคยกู้ยืมเงินจำเลยและไม่เคยฝากที่ดินตามฟ้องไว้กับจำเลย จำเลยจึงเป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้องโดยชอบด้วยกฎหมาย เงินที่ได้จากการแบ่งขายที่ดินเป็นของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทและไม่มีสิทธิเรียกเงินค่าที่ดินจากจำเลย โจทก์เป็นบิดาจำเลย โจทก์ใช้อำนาจความเป็นบิดาข่มขู่บังคับจำเลยเรื่อยมา ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดพร้อม จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของโจทก์คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลจังหวัดนครสวรรค์ เห็นว่า กรณีมีปัญหาว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงส่งสำนวนให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 11
วินิจฉัยว่า คดีนี้ โจทก์ซึ่งเป็นบิดาของจำเลยฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาแล้วให้จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแทนโจทก์ ต่อมาโจทก์ให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินพิพาทและนำที่ดินที่แบ่งแยกขายให้แก่นางสาวกนกวรรณ อำภูธร เมื่อจำเลยได้รับเงินค่าที่ดินแล้วจำเลยไม่นำเงินมาให้แก่โจทก์ และเมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนโจทก์ จำเลยกลับเพิกเฉย ส่วนจำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท มิได้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนโจทก์ คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยถือกรรมสิทธิ์และขายที่ดินพิพาทแทนโจทก์หรือไม่ และจำเลยต้องคืนเงินที่ได้จากการขายที่ดินให้แก่โจทก์หรือไม่ อันเป็นปัญหาที่ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน บรรพ 3 ลักษณะ 15 ไม่ได้เป็นเรื่องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แต่อย่างใด คดีนี้ จึงไม่เป็นคดีครอบครัวตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 10 (3)
วินิจฉัยว่าคดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว
วินิจฉัย ณ วันที่ 25 เดือน มกราคม พุทธศักราช 2559

(ลงชื่อ) วีระพล ตั้งสุวรรณ
(นายวีระพล ตั้งสุวรรณ)

Share