คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12170/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะไม่ใช่คู่ความซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีหรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่มีสิทธิขอให้บังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 แต่กรณีนี้เป็นเรื่องที่ศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมตามข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมฉบับลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2524 และแผนที่ด้านหลังบันทึกดังกล่าว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1364 วรรคหนึ่ง ซึ่งโจทก์และจำเลยต่างมีภาระร่วมกันที่จะต้องไปดำเนินการแบ่งแยกที่ดินให้เป็นไปตามคำพิพากษา เมื่อคำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ 11 เมษายน 2554 ที่ขอให้บังคับโจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาเป็นคำร้องที่สืบเนื่องมาจากคำร้องฉบับลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2551 ที่จำเลยยื่นต่อศาลขอให้ออกหมายเรียกโจทก์และเจ้าพนักงานที่ดินมาสอบถามเรื่องที่โจทก์ไม่ยอมลงลายมือชื่อรับทราบผลการรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมอันเป็นเหตุขัดข้องทำให้เจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยได้ จึงเป็นกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่าโจทก์ไม่ให้ความร่วมมือในการแบ่งแยกที่ดิน ย่อมถือว่ามีเหตุขัดข้อง ทำให้ไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลได้ ศาลชั้นต้นควรต้องสอบถามโจทก์และจำเลยก่อนไม่ควรด่วนยกคำร้องของจำเลยไปเสียทีเดียว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอแบ่งแยกที่ดินกรรมสิทธิ์รวม คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดิน โฉนดที่ดินเลขที่ 1060 ตำบลบ้านกระแซง อำเภอบางไทร (เสนาน้อย) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้โจทก์ทางทิศใต้เนื้อที่ 1 ไร่ ตามบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมฉบับลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2524 และแผนที่ด้านหลังบันทึกดังกล่าว หากจำเลยไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาแทน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 6,000 บาท ยกฟ้องแย้ง ต่อมาจำเลยยื่นคำร้อง ลงวันที่ 11 เมษายน 2554 ต่อศาลชั้นต้นว่า เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2547 โจทก์และจำเลยได้ไปยื่นเรื่องขอรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม เจ้าพนักงานที่ดินได้รังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมให้โจทก์และจำเลยเสร็จสิ้นแล้ว แต่โจทก์ไม่ไปดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ดังกล่าว ทำให้การแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมไม่อาจดำเนินการต่อไปได้ ขอให้ศาลออกหมายแจ้งคำบังคับไปยังโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 เพื่อให้โจทก์ไปดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมตามที่เจ้าพนักงานที่ดินแจ้งมา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์มิใช่คู่ความซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีศาลจึงไม่อาจออกคำบังคับโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้โจทก์และจำเลยฟังเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2547 สำนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีหนังสือลงวันที่ 11 เมษายน 2548 แจ้งศาลชั้นต้นว่า โจทก์และจำเลยได้ยื่นคำขอรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวม แต่มีเหตุขัดข้องไม่สามารถรังวัดได้ เนื่องจากโจทก์และจำเลยไม่อาจตกลงชี้แนวเขตแบ่งแยกตามคำสั่งศาลได้ เพราะที่ดินบางส่วนกลายเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำน้อย วันที่ 20 มิถุนายน 2548 โจทก์ได้ยื่นคำร้องอ้างว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ขอให้นัดพร้อมเพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อมวันที่ 29 กันยายน 2548 วันนัดพร้อมโจทก์และจำเลยตกลงว่าจะไปดำเนินการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมใหม่ ต่อมาสำนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีหนังสือลงวันที่ 10 เมษายน 2549 แจ้งแก่ศาลชั้นต้นว่า โจทก์และจำเลยขอให้รังวัดทำแผนที่ที่ดินพิพาท และส่งแผนที่การแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมมาเพื่อดำเนินการต่อไป แต่ไม่มีการดำเนินการต่อไป ครั้นวันที่ 1 กรกฎาคม 2551 จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์ไม่ลงลายมือชื่อรับทราบผลการรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม เป็นเหตุขัดข้องทำให้เจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจออกโฉนดที่ดินฉบับใหม่ให้จำเลยได้ ขอให้ศาลออกหมายเรียกโจทก์และเจ้าพนักงานที่ดินมาเพื่อสอบถาม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยจึงยื่นคำร้องลงวันที่ 11 เมษายน 2554 ขอให้บังคับโจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษา กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของจำเลยลงวันที่ 11 เมษายน 2554 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยจะไม่ใช่คู่ความซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีหรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่มีสิทธิขอให้บังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 แต่กรณีนี้เป็นเรื่องที่ศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมตามข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมฉบับลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2524 และแผนที่ด้านหลังบันทึกดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 วรรคหนึ่ง ซึ่งโจทก์และจำเลยต่างมีภาระร่วมกันที่จะต้องไปดำเนินการแบ่งแยกที่ดินให้เป็นไปตามคำพิพากษา เมื่อคำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ 11 เมษายน 2554 ที่ขอให้บังคับโจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาเป็นคำร้องที่สืบเนื่องมาจากคำร้องฉบับลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2551 ที่จำเลยยื่นต่อศาลขอให้ออกหมายเรียกโจทก์และเจ้าพนักงานที่ดินมาสอบถามเรื่องที่โจทก์ไม่ยอมลงลายมือชื่อรับทราบผลการรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมอันเป็นเหตุขัดข้องทำให้เจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยได้ จึงเป็นกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่าโจทก์ไม่ให้ความร่วมมือในการแบ่งแยกที่ดิน ย่อมถือว่ามีเหตุขัดข้อง ทำให้ไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลได้ ศาลชั้นต้นควรต้องสอบถามโจทก์และจำเลยก่อนไม่ควรด่วนยกคำร้องของจำเลยไปเสียทีเดียว ที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของจำเลยนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องของจำเลยไว้พิจารณาแล้วดำเนินการต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share