แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวงสั่งซื้อสินค้าผ้าจากโจทก์ร่วมนั้น เป็นการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนตามแผนการที่วางไว้ตั้งแต่ต้น โดยการหลอกลวงให้โจทก์ร่วมไว้วางใจเพื่อจะได้ฉ้อโกงสินค้าเป็นจำนวนมากโดยอาศัยวิธีการออกเช็คชำระค่าสินค้าแทนเงินสด โดยเจตนาที่จะไม่ใช้เงินตามเช็ค พฤติการณ์การกระทำดังกล่าวจึงเป็นเพียงอุบายของจำเลยกับพวกเพื่อให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อและส่งมอบสินค้าผ้าให้จำเลยกับพวก การออกเช็คชำระหนี้คราวแรกจึงเป็นการกระทำอันเป็นส่วนหนึ่งของการหลอกลวงอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกง แม้การที่จำเลยออกเช็คตามฟ้องให้แก่โจทก์ร่วมจะกระทำขึ้นในวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 ภายหลังจากจำเลยกับพวกได้รับสินค้าผ้าจากโจทก์ร่วมไประหว่างวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2543 ถึงวันที่ 20 มีนาคม 2543 และภายหลังออกเช็คคราวแรกให้โจทก์ร่วมแล้วก็ตาม แต่เป็นการออกเช็คแทนเช็คฉบับเดิมที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องและแทนที่การออกเช็คที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการหลอกลวงดังกล่าว การกระทำของจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 707/2545 ของศาลแขวงปทุมวัน และในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 ในคดีนี้ จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นกรรมเดียวกันก็ตาม แต่ต่อมาเมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 707/2545 ของศาลแขวงปทุมวัน โดยวินิจฉัยว่าเป็นการฟ้องซ้อนกับคดีนี้ หาได้วินิจฉัยการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่ จึงถือไม่ได้ว่าในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 707/2545 ของศาลแขวงปทุมวัน ได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้อง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในคดีนี้จึงหาได้ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และนับโทษของจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 707/2545 ของศาลแขวงปทุมวัน
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา ห้างหุ้นส่วนจำกัด เบ๊กิ้มฮง ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในคดีนี้ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) หรือไม่ โดยโจทก์ร่วมฎีกาว่า ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 707/2545 ของศาลแขวงปทุมวัน จำเลยกับนายจิรายุพันธุ์ มีเจตนาฉ้อโกงโจทก์ร่วมมาตั้งแต่แรก และเป็นความผิดสำเร็จเมื่อได้รับสินค้าผ้าจากโจทก์ร่วม ส่วนคดีนี้เมื่อจำเลยออกเช็คตามฟ้องเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าผ้าให้แก่โจทก์ร่วม และเช็คดังกล่าวธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ย่อมเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งต่างหากจากความผิดฐานฉ้อโกง จึงต้องลงโทษจำเลยในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 ในคดีนี้อีกข้อหาหนึ่ง ไม่เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) จึงเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า การกระทำของจำเลยในความผิดทั้งสองคดีดังกล่าวเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า จำเลยกับนายจิรายุพันธุ์ได้ร่วมกันจัดตั้งร้านค้าชื่อถุงเงินดีไซน์โดยสมมุติขึ้นมิได้มีอยู่จริง แล้วนำชื่อร้านดังกล่าวไปใช้ซื้อสินค้าผ้าจากโจทก์ร่วมหลายครั้ง โดยได้ความจากนางปิติพร ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ร่วมและนายพชร ผู้จัดการฝ่ายขายของโจทก์ร่วมว่า ในระยะแรกของการซื้อขายสินค้า จำเลยกับพวกจะชำระค่าสินค้าเป็นเงินสด ต่อมามีการชำระด้วยเช็คซึ่งเรียกเก็บเงินได้ นายจิรายุพันธุ์จึงขอเวลาชำระค่าสินค้านานขึ้นให้แก่ร้านถุงเงินดีไซน์ โจทก์ร่วมตกลงให้เวลาชำระค่าสินค้าดังกล่าว ครั้งสุดท้ายร้านถุงเงินดีไซน์สั่งซื้อสินค้าผ้าจากโจทก์ร่วมเป็นเงินประมาณ 1,450,000 บาท และจำเลยสั่งจ่ายเช็คหลายฉบับเพื่อชำระค่าสินค้าผ้าดังกล่าวให้แก่โจทก์ร่วม แต่เช็คดังกล่าวธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินต่อมาจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คตามฟ้องแทนเช็คที่ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่าย และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอีก หลังเกิดเหตุ โจทก์ร่วมไปตรวจสอบที่ตั้งของร้านถุงเงินดีไซน์ ปรากฏว่าเป็นบ้านเช่าซึ่งนายจิรายุพันธุ์เป็นผู้เช่า เห็นว่า การที่จำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวงสั่งซื้อสินค้าผ้าจากโจทก์ร่วมนั้น เป็นการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนตามแผนการที่วางไว้ตั้งแต่ต้น โดยการหลอกลวงให้โจทก์ร่วมไว้วางใจเพื่อจะได้ฉ้อโกงสินค้าเป็นจำนวนมากโดยอาศัยวิธีการออกเช็คชำระค่าสินค้าแทนเงินสด โดยเจตนาที่จะไม่ใช้เงินตามเช็ค พฤติการณ์การกระทำดังกล่าวจึงเป็นเพียงอุบายของจำเลยกับพวกเพื่อให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อและส่งมอบสินค้าผ้าให้จำเลยกับพวก การออกเช็คชำระหนี้คราวแรกจึงเป็นการกระทำอันเป็นส่วนหนึ่งของการหลอกลวงอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกง แม้การที่จำเลยออกเช็คตามฟ้องให้แก่โจทก์ร่วมจะกระทำขึ้นในวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 ภายหลังจากจำเลยกับพวกได้รับสินค้าผ้าจากโจทก์ร่วมไประหว่างวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2543 ถึงวันที่ 20 มีนาคม 2543 และภายหลังออกเช็คคราวแรกให้โจทก์ร่วมแล้วก็ตาม แต่เป็นการออกเช็คแทนเช็คฉบับเดิมที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องและแทนที่การออกเช็คที่เป็นส่วนหนึ่งของแผน การหลอกลวงดังกล่าว การกระทำของจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 707/2545 ของศาลแขวงปทุมวัน และในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 ในคดีนี้ จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน อย่างไรก็ดี แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นกรรมเดียวกันก็ตาม แต่ต่อมาเมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 707/2545 ของศาลแขวงปทุมวัน โดยวินิจฉัยว่าเป็นการฟ้องซ้อนกับคดีนี้ หาได้วินิจฉัยการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่ จึงถือไม่ได้ว่าในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 707/2545 ของศาลแขวงปทุมวัน ได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้อง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในคดีนี้จึงหาได้ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) แต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่า สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในคดีนี้ระงับไปแล้วนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย และโดยที่ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้อง แต่ยังมิได้พิพากษาปรับบทลงโทษจำเลย และศาลอุทธรณ์ก็ยังมิได้พิจารณาพิพากษาในเนื้อหาแห่งคดี ทั้งเป็นคดีที่หากศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยแล้ว อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาของคู่ความได้ ศาลฎีกาจึงเห็นเป็นการจำเป็น จึงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240 (3) ประกอบด้วยมาตรา 247 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี