คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19431/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป.วิ.พ. มาตรา 90 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า การอ้างอิงเอกสารเป็นพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของตน ต้องยื่นต่อศาลและส่งให้คู่ความฝ่ายอื่นซึ่งสำเนาเอกสารนั้นก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน และมาตรา 86 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า พยานหลักฐานใดที่ได้ยื่นฝ่าฝืนต่อบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ให้ศาลปฏิเสธไม่รับพยานหลักฐานนั้นไว้ การที่ศาลชั้นต้นรับเอกสารที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กล่าวอ้างว่า โจทก์ยื่นโดยฝ่าฝืนมาตรา 90 วรรคหนึ่ง ดังกล่าวไว้เป็นพยานหลักฐาน ย่อมเป็นกระบวนพิจารณาโดยผิดระเบียบตามมาตรา 27 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงต้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวภายใน 8 วัน นับแต่วันแต่วันที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทราบถึงกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มิได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเสียภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบหรือยกกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบขึ้นอุทธรณ์โต้แย้งได้อีก
ชั้นอุทธรณ์จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์ว่า เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 และเอกสารหมาย จ.1 เป็นเอกสารคนละฉบับ โจทก์เพิ่งนำสืบเอกสารหมาย จ.1 ในชั้นพิจารณา จึงเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยว่า เอกสารทั้งสองฉบับต่างระบุเงื่อนไขการประมูลขายแผ่นฟิล์ม และโจทก์นำเอกสารหมาย จ.1 ประกอบคำถามค้านของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 3 ก็เบิกความรับว่า เงื่อนไขการประมูลตามเอกสารหมาย จ.1 โจทก์ได้ส่งให้จำเลยที่ 1 ก่อนพิจารณาเสนอราคา จึงเป็นเอกสารที่สนับสนุนข้ออ้างของโจทก์เกี่ยวกับเงื่อนไขการประมูลแผ่นฟิล์ม การนำสืบของโจทก์ไม่เป็นการนอกฟ้อง การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกาแต่เพียงว่า เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 และเอกสารหมาย จ.1 เป็นเอกสารคนละฉบับและคนละความหมายกันใช้แทนกันไม่ได้เป็นการนำสืบนอกฟ้อง ไม่มีข้อความโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ส่วนข้อที่อ้างว่าเอกสารหมาย จ.1 ยื่นฝ่าฝืนมาตรา 90 นั้น เป็นข้อที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในส่วนนี้จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 3,932,527.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,729,451.50 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 4 ชำระเงิน 1,054,452.05 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การและจำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 1,738,748.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 อันเป็นวันยื่นคำให้การและฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1 และให้โจทก์ส่งคืนหนังสือค้ำประกันของจำเลยที่ 4 ฉบับลงวันที่ 28 ธันวาคม 2553 หากไม่คืนขอให้มีคำสั่งเพิกถอนหนังสือค้ำประกันดังกล่าว
จำเลยที่ 4 ให้การขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน 1,898,039.25 บาท โดยให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิด 1,000,000 บาท ทั้งนี้ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 ธันวาคม 2554) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 (ที่ถูก ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1) ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
โจทก์ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน 3,729,451.50 บาท ให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ว่า โจทก์อ้างส่งเอกสาร ในการสืบพยานโดยไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทราบล่วงหน้าก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 ศาลชั้นต้นต้องปฏิเสธไม่รับพยานหลักฐานนั้นไว้ ตามมาตรา 86 วรรคหนึ่ง แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มิได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา 27 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ก็มีสิทธิยกข้อที่ศาลรับเอกสารนั้นไว้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบขึ้นอุทธรณ์ได้หรือไม่นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า การอ้างอิงเอกสารเป็นพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของตน ต้องยื่นต่อศาลและส่งให้คู่ความฝ่ายอื่นซึ่งสำเนาเอกสารนั้นก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน และมาตรา 86 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า พยานหลักฐานใดที่ได้ยื่นฝ่าฝืนต่อบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ให้ศาลปฏิเสธไม่รับพยานหลักฐานนั้นไว้ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นรับเอกสารที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กล่าวอ้างว่า โจทก์ยื่นโดยฝ่าฝืนมาตรา 90 วรรคหนึ่ง ดังกล่าวไว้เป็นพยานหลักฐาน ย่อมเป็นกระบวนพิจารณาโดยผิดระเบียบตามมาตรา 27 จำเลยที่ 1 ที่ 3 จึงต้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวภายใน 8 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทราบถึงกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มิได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเสียภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบหรือยกกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบขึ้นอุทธรณ์โต้แย้งได้อีก ที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกาว่า การคัดค้านกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา 27 ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติฝ่าฝืนมาตรา 90 นั้น เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกาว่า เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 มีข้อความว่า เงื่อนไขการประมูลราคา OFF SPEC PRODUCT (NONWOVEN FABRICS) ส่วนเอกสารหมาย จ.1 มีข้อความว่า เงื่อนไขการประมูลราคา OFF SPEC PRODUCT (BREATHABLE FILM) ซึ่งเป็นคนละฉบับและคนละความหมายกัน ใช้แทนกันไม่ได้ ทั้งเอกสารหมาย จ.1 ได้ยื่นโดยฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 คือ ไม่ยื่นต่อศาลและส่งสำเนาให้แก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน การนำสืบเอกสารหมาย จ.1 จึงเป็นการนำสืบนอกฟ้องและเป็นการยื่นฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จึงรับฟังไม่ได้นั้น เห็นว่า ในชั้นอุทธรณ์จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์ว่า เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 และเอกสารหมาย จ.1 เป็นเอกสารคนละฉบับ โจทก์เพิ่งนำสืบในชั้นพิจารณา จึงเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยว่า เอกสารทั้งสองฉบับต่างระบุเงื่อนไขการประมูลขายแผ่นฟิล์ม และโจทก์นำเอกสารหมาย จ.1 ประกอบคำถามค้านของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 3 ก็เบิกความรับว่า เงื่อนไขการประมูลตามเอกสารหมาย จ.1 โจทก์ได้ส่งให้จำเลยที่ 1 ก่อนพิจารณาเสนอราคา จึงเป็นเอกสารที่สนับสนุนข้ออ้างของโจทก์เกี่ยวกับเงื่อนไขการประมูลแผ่นฟิล์ม การนำสืบของโจทก์ไม่เป็นการนอกฟ้อง การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกาแต่เพียงว่า เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 และเอกสารหมาย จ.1 เป็นเอกสารคนละฉบับและคนละความหมายกันใช้แทนกันไม่ได้เป็นการนำสืบนอกฟ้อง ไม่มีข้อความโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ส่วนข้อที่อ้างว่าเอกสารหมาย จ.1 ยื่นฝ่าฝืนมาตรา 90 นั้น เป็นข้อที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในส่วนนี้จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ว่า การที่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติผิดสัญญาทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใด โจทก์มีนายศักดิ์สิทธิ์ พนักงานของบริษัทซันโพลีพลาส แอนด์ อิเล็คทรอนิค จำกัด เป็นพยานเบิกความว่า บริษัทเริ่มรับสินค้าจากโจทก์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2554 ถึงเดือนธันวาคม 2554 มีรายการสรุปยอดทั้งหมด ช่วงแรกเดือนพฤษภาคม 2554 โจทก์มีสินค้าตกค้างอยู่ประมาณ 300 ถึง 400 ตัน ต้องเข้าไปขนทุกวัน วันละประมาณ 4 ถึง 5 เที่ยว หลังจากนั้นสัปดาห์ละ 1 ถึง 2 ครั้ง การเข้าออกแต่ละครั้ง โจทก์จะออกหนังสือแสดงน้ำหนักของสินค้าด้อยคุณภาพ และมีการทำรายการสรุปยอดรวมราคาทั้งหมด หากจะทราบราคาของแต่ละงวดในการรับซื้อ ให้เอาน้ำหนักของสินค้าคูณด้วยราคาในใบเสนอราคาของบริษัทซันโพลีพลัส แอนด์ อิเล็คทรอนิค จำกัด ที่เสนอประมูลซื้อร่วมกับจำเลยที่ 1 และนางสาวสุมนาผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของโจทก์เบิกความว่า จำนวนสินค้าที่บริษัทซันโพลีพลัส แอนด์ อิเล็คทรอนิค จำกัด ซื้อไปตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2554 ถึงเดือนธันวาคม 2554 มีพลาสติกชนิดเศษฟิล์มก้อนสีขาว ชนิดม้วนฟิล์มสีขาวและลายสี ชนิดเศษฟิล์มสีขาวและลายสีและชนิดเศษเม็ดคอมปาวด์สีขาว รวมเป็นเงิน 13,733,180 บาท ปรากฏตามใบรับของและตารางการขาย หากจำเลยที่ 1 ไม่ผิดสัญญา โจทก์สามารถขายให้จำเลยที่ 1 ได้ราคา 17,406,469 บาท การขายให้บริษัทซันโพลีพลาส แอนด์ อิเล็คทรอนิค จำกัด ทำให้โจทก์เสียหาย 3,729,451.50 บาท เห็นว่า หนังสือแสดงน้ำหนักของสินค้าด้อยคุณภาพ มีประมาณ 250 ฉบับ จะปรากฏรายละเอียดใบตรวจเช็คผู้รับซื้อก่อนเข้าปฏิบัติงาน น้ำหนักของสินค้าแต่ละเที่ยวที่รถบรรทุกขนออกไป และหลักฐานการขายเศษวัสดุและราคาที่ขายรวมภาษีการค้าที่บริษัทซันโพลีพลาส แอนด์ อิเล็คทรอนิค จำกัด เข้าไปขนวัสดุที่โจทก์ขายในแต่ละครั้ง สอดคล้องกับตารางการขาย และตารางสรุปเปรียบเทียบยอดการขายให้จำเลยที่ 1 และบริษัทซันโพลีพลาส แอนด์ อิเล็คทรอนิค จำกัด โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มิได้นำพยานหลักฐานมาสืบหักล้าง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า การที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญา ทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์ไปเป็นเงิน 3,729,451.50 บาท จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ 4 มิได้ร่วมอุทธรณ์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็มิได้พิพากษาให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดชำระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามที่โจทก์อุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 รับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ด้วยจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 10,000 บาท แทนโจทก์ และจำเลยที่ 4 ไม่ต้องร่วมรับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์

Share