คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15972/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการจ่ายค่าทดแทนสำหรับกรณีที่ลูกจ้างถึงแก่ความตายหรือสูญหายซึ่งกฎหมายบัญญัติให้จ่ายเป็นรายเดือนมีกำหนด 8 ปี ตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 มาตรา 18 (4) นั้น ผู้มีหน้าที่ต้องจ่ายกับผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนดังกล่าวจะตกลงกันจ่ายค่าทดแทนในคราวเดียวเต็มจำนวนหรือเป็นระยะเวลาอย่างอื่นก็ได้ตามมาตรา 24 แม้ บ. ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 (2) ได้ขอรับค่าทดแทนในคราวเดียวเต็มจำนวนจากจำเลยก็ตาม แต่เมื่อจำเลยพิจารณาแล้วเห็นควรที่จะจ่ายค่าทดแทนให้ บ. คราวเดียวได้ไม่เกินกึ่งหนึ่งของสิทธิที่สมควรได้รับตามแนวปฏิบัติการพิจารณาจ่ายค่าทดแทนตามมาตรา 18 (4) คราวเดียวเต็มจำนวน การที่ บ. ยอมรับค่าทดแทนจากจำเลยส่วนแรกเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งไปก่อนจึงถือเป็นข้อตกลงระหว่างจำเลยกับ บ. เกี่ยวกับการจ่ายค่าทดแทนตามมาตรา 24 มีผลทำให้ค่าทดแทนส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งของ บ. จะถึงกำหนดจ่ายหลังจากได้รับเงินครั้งแรกไปแล้ว 4 ปี
แม้จะปรากฏต่อมาว่าสิทธิในการได้รับค่าทดแทนของ บ. ได้สิ้นสุดลงเพราะ บ. ถึงแก่ความตายไปก่อนที่จะถึงกำหนดจ่ายค่าทดแทนส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งก็ตาม กรณีก็ต้องนำส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งดังกล่าวของ บ. ผู้หมดสิทธิไปเฉลี่ยให้แก่ผู้มีสิทธิอื่นต่อไปตามมาตรา 21 วรรคสอง ดังนั้น สิทธิในการได้รับค่าทดแทนตามมาตรา 18 (4) จึงเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 ไม่เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1600 โจทก์ซึ่งแม้จะเป็นบุตรและผู้จัดการมรดกของ บ. แต่ก็มิใช่ผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 จึงไม่มีสิทธิขอรับค่าทดแทนเมื่อถึงกำหนดจ่ายส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งจากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมีคำวินิจฉัยที่ 224/2554และให้โจทก์มีสิทธิได้รับเงินทดแทนในส่วนที่เหลือ 380,160 บาท จากกองทุนเงินทดแทน
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายบุญทัน และนางบุญตา นายบุญทันเป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานขับรถของบริษัทซุปเปอร์ลิฟท์ เซอร์วิสส์ จำกัด เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2550 ขณะทำงาน นายบุญทันขึ้นไปเก็บผ้าใบที่คลุมสินค้าบนรถแล้วพลัดตกลงมาเสียชีวิต สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 2 พิจารณาแล้วเห็นว่านายบุญทันประสบอันตรายเสียชีวิต และนางบุญตาภรรยาเป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนกรณีลูกจ้างถึงแก่ความตายเป็นเวลาแปดปี หรือ 96 เดือน จำนวน 760,320 บาท นางบุญตาแจ้งต่อเจ้าพนักงานว่าขอรับเงินก้อนคราวเดียวเพื่อนำไปชำระค่าบ้าน แต่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 2 จ่ายค่าทดแทนให้เพียงกึ่งหนึ่งหรือ 48 เดือน หักส่วนลดแล้วคงเหลือ 366,498 บาท ที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งจะได้รับหลังจากรับเงินครั้งแรกแล้ว 4 ปี ต่อมาวันที่ 12 ธันวาคม 2550 นางบุญตาเสียชีวิตด้วยโรคเลือดออกในสมอง โจทก์ยื่นคำร้องขอรับเงินส่วนที่เหลือ แต่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 2 มีคำวินิจฉัยที่ รง 0623/11953 ลงวันที่ 10 มิถุนายน 2554 ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าทดแทนส่วนที่เหลือ โจทก์อุทธรณ์ คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมีคำวินิจฉัยที่ 224/2554 ลงวันที่ 23 กันยายน 2554 ยกอุทธรณ์ โจทก์ทราบคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2554 และมายื่นฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2555 และศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า กองทุนเงินทดแทนซึ่งมีหน้าที่จ่ายค่าทดแทนแก่ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิแทนนายจ้างอาจตกลงกับลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 เพื่อที่จะจ่ายค่าทดแทนในคราวเดียวเต็มจำนวนหรือเป็นระยะเวลาอย่างอื่นตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537 การที่นางบุญตาซึ่งขอรับค่าทดแทนเต็มจำนวน แต่กองทุนเงินทดแทนจ่ายให้นางบุญตาเพียงครึ่งเดียวตามแนวปฏิบัติการพิจารณาจ่ายค่าทดแทนตามมาตรา 18 (4) คราวเดียวเต็มจำนวนเท่ากับกองทุนเงินทดแทนตกลงกับนางบุญตาในการจ่ายค่าทดแทนตามระยะเวลาตามมาตรา 24 ดังกล่าวแล้ว สำหรับค่าทดแทนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งซึ่งยังไม่ถึงกำหนดที่จะจ่ายนั้น ตามมาตรา 21 วรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่สิทธิได้รับเงินทดแทนสิ้นสุดลงเพราะผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 ผู้หนึ่งผู้ใดถึงแก่ความตาย… ให้นำส่วนแบ่งของผู้หมดสิทธิเพราะเหตุหนึ่งเหตุใดดังกล่าวไปเฉลี่ยให้แก่ผู้มีสิทธิอื่นต่อไป” แสดงว่า ผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 ผู้ใดถึงแก่ความตาย สิทธิได้รับค่าทดแทนย่อมสิ้นสุดลงทันที สิทธิได้รับค่าทดแทนของผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 จึงเป็นสิทธิเฉพาะตัว เมื่อผู้มีสิทธิคือนางบุญตาถึงแก่ความตาย กองทุนเงินทดแทนจึงไม่ต้องจ่ายค่าทดแทนที่เหลืออีก 48 เดือน จำนวน 380,160 บาท และเงินจำนวนดังกล่าวมิได้เป็นทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่าง ๆ ของนางบุญตาที่จะตกเป็นมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1600 โจทก์ในฐานะบุตรและผู้จัดการมรดกของนางบุญตามิได้เป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนกรณีที่นายบุญทันถึงแก่ความตายตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537 มาตรา 20 จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าทดแทนตามฟ้อง ไม่มีเหตุเพิกถอนคำวินิจฉัยของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 2 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนดังกล่าวข้างต้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า มีเหตุเพิกถอนคำวินิจฉัยของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 2 ที่ รง 0623/11953 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนที่ 224/2554 หรือไม่ เห็นว่า ในการจ่ายค่าทดแทนสำหรับกรณีที่ลูกจ้างถึงแก่ความตายหรือสูญหายซึ่งกฎหมายบัญญัติให้จ่ายเป็นรายเดือนมีกำหนด 8 ปี ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537 มาตรา 18 (4) นั้น ผู้มีหน้าที่ต้องจ่ายกับผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนดังกล่าวจะตกลงกันจ่ายค่าทดแทนในคราวเดียวเต็มจำนวนหรือเป็นระยะเวลาอย่างอื่นก็ได้ตามมาตรา 24 แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความตามที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาว่า นางบุญตา ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 (2) ได้ขอรับค่าทดแทนในคราวเดียวเต็มจำนวนจากจำเลยก็ตาม แต่เมื่อจำเลยพิจารณาแล้วเห็นควรที่จะจ่ายค่าทดแทนให้นางบุญตาคราวเดียวได้ไม่เกินกึ่งหนึ่งของสิทธิที่สมควรได้รับตามแนวปฏิบัติการพิจารณาจ่ายค่าทดแทนตามมาตรา 18 (4) คราวเดียวเต็มจำนวน การที่นางบุญตายอมรับค่าทดแทนจากจำเลยส่วนแรกเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งไปก่อนจึงถือเป็นข้อตกลงระหว่างจำเลยกับนางบุญตาเกี่ยวกับการจ่ายค่าทดแทนตามมาตรา 24 มีผลทำให้ค่าทดแทนส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งของนางบุญตาจะถึงกำหนดจ่ายหลังจากได้รับเงินครั้งแรกไปแล้ว 4 ปี และแม้จะปรากฏต่อมาว่าสิทธิในการได้รับค่าทดแทนของนางบุญตาได้สิ้นสุดลงเพราะนางบุญตาถึงแก่ความตายไปก่อนที่จะถึงกำหนดจ่ายค่าทดแทนส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งก็ตาม กรณีก็ต้องนำส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งดังกล่าวของนางบุญตาผู้หมดสิทธิไปเฉลี่ยให้แก่ผู้มีสิทธิอื่นต่อไปตามมาตรา 21 วรรคสอง ดังนั้น สิทธิในการได้รับค่าทดแทนตามมาตรา 18 (4) จึงเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 ไม่เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1600 โจทก์ซึ่งแม้จะเป็นบุตรและผู้จัดการมรดกของนางบุญตาแต่ก็มิใช่ผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 จึงไม่มีสิทธิขอรับค่าทดแทนเมื่อถึงกำหนดจ่ายส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งจากจำเลย กรณีไม่มีเหตุที่จะต้องเพิกถอนคำวินิจฉัยของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 2 ที่ รง 0623/11953 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนที่ 224/2554 ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share