แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดชำระค่าสินค้าที่จำเลยที่ 2 สั่งซื้อให้แก่ลูกค้า จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนในการสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ โดยมีข้อตกลงว่า โจทก์ต้องจ่ายค่าบำเหน็จนายหน้าให้จำเลยที่ 2 ซึ่งโจทก์ค้างชำระค่าบำเหน็จนายหน้าจึงขอบังคับให้โจทก์ชำระค่าบำเหน็จนายหน้าแก่จำเลยที่ 2 โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นในวันเวลาต่างกันกับคำฟ้อง เช่นนี้ มูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดชำระแก่โจทก์ก็เนื่องมาจากการที่จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนในการสั่งซื้อสินค้าเพื่อส่งให้แก่ลูกค้า โดยโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระค่าบำเหน็จนายหน้าให้แก่จำเลยที่ 2 ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดชำระค่าบำเหน็จนายหน้าที่ค้างชำระแก่จำเลยที่ 2 จึงเกิดจากการสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์เช่นเดียวกัน กรณีจึงเป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจสั่งซื้อสินค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 แม้จะไม่ใช่หนี้ค่าบำเหน็จของการสั่งซื้อค่าสินค้าตามฟ้องในครั้งนี้ก็ตาม แต่ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 เป็นมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน คือหนี้เงินและหนี้ทั้งสองรายถึงกำหนดชำระแล้ว จึงชอบที่จะนำมาหักกลบลบกันได้และพิจารณาพิพากษาไปในคราวเดียวกัน ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 หาใช่เป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 8,728.89 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 8,119.90 ดอลลาร์สหรัฐ นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ชำระเงิน 122,131 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 100,726.84 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 2
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงิน 56,638.84 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2547 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 2 กับให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยที่ 2 กำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 5,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 ชนะคดี ให้ยกฟ้องโจทก์เสีย ค่าฤชาธรรมเนียมส่วนของโจทก์ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 286,254 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 29 มกราคม 2550) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 คืนค่าขึ้นศาลในส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ในศาลชั้นต้นให้แก่จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความในศาลชั้นต้น 5,000 บาท ชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดชำระค่าสินค้าซึ่งจำเลยที่ 2 สั่งซื้อให้แก่ลูกค้าที่ประเทศเยอรมันนี จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนในการสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ตามฟ้อง โดยมีข้อตกลงว่าโจทก์ต้องจ่ายค่าบำเหน็จนายหน้าให้แก่จำเลยที่ 2 อัตราร้อยละ 5 ของเงินค่าสินค้า คิดเป็นเงิน 418.50 ดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้โจทก์ค้างชำระค่าบำเหน็จนายหน้าแก่จำเลยที่ 2 จากการที่โจทก์ส่งสินค้าไปให้แก่ผู้ซื้อยังต่างประเทศหลายครั้งเป็นเงิน 342,862.84 บาท รายละเอียดตามหนังสือของโจทก์ถึงจำเลยที่ 2 เอกสารท้ายคำให้การและฟ้องแย้ง ซึ่งโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าเอกสารดังกล่าวเป็นนิติกรรมเรื่องอื่น ซึ่งเกิดขึ้นแต่ละคราวในวันและเวลาที่ต่างกันและค่าบำเหน็จดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ เช่นนี้ มูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดชำระแก่โจทก์เนื่องมาจากการที่จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนในการสั่งซื้อสินค้าเพื่อส่งให้แก่ลูกค้าในต่างประเทศ โดยโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระค่าบำเหน็จนายหน้าให้แก่จำเลยที่ 2 ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 ฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดชำระค่าบำเหน็จนายหน้าที่ค้างชำระ จึงเกิดจากการสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์เช่นเดียวกัน กรณีจึงเป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจสั่งซื้อสินค้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 แม้จะไม่ใช่หนี้ค่าบำเหน็จของการสั่งซื้อสินค้าตามคำฟ้องของโจทก์ครั้งนี้ก็ตาม ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 หาใช่เป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมไม่ เมื่อมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกันคือเป็นหนี้เงินและหนี้ทั้งสองรายถึงกำหนดชำระแล้ว จึงชอบที่จะนำมาหักกลบลบกันได้และพิจารณาพิพากษาไปในคราวเดียวกัน ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม คดีได้ความว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้าที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยที่ 2 รวมเป็นเงิน 342,862.84 บาท ซึ่งโจทก์มิได้นำสืบหักล้างเป็นอย่างอื่น เมื่อหักกลบลบหนี้กับค่าสินค้าซึ่งจำเลยที่ 2 ต้องรับผิด 286,254 บาท แล้ว โจทก์คงต้องรับผิดชำระค่าบำเหน็จนายหน้าแก่จำเลยที่ 2 เป็นเงิน 56,638.84 บาท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
อนึ่ง จำเลยที่ 2 มีคำขอให้โจทก์ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดวันที่ 13 มิถุนายน 2547 โดยนับถึงวันฟ้องแย้งเป็นเวลา 2 ปี 10 เดือน 6 วัน แต่จำเลยที่ 2 คิดถึงวันฟ้องแย้งเพียง 2 ปี 10 เดือน เป็นเงิน 21,404.16 บาท แล้วศาลชั้นต้นให้โจทก์ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไป จึงเกินคำขอ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และมาตรา 247
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องแย้ง (วันที่ 19 มีนาคม 2550) ต้องไม่เกิน 21,404.16 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง ให้เป็นพับ