คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16386/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยมีหน้าที่ตามสัญญาประกันภัยต้องชำระค่ารักษาพยาบาลให้แก่ ว. ผู้นั่งโดยสารรถคันที่โจทก์รับประกันภัย แล้วรับช่วงสิทธิของ ว. มาไล่เบี้ยเอาจากผู้ต้องรับผิดจากการที่รถเกิดเฉี่ยวชนกัน เมื่อเหตุที่รถเฉี่ยวชนกันเกิดจากความประมาทของผู้ขับรถคันที่โจทก์รับประกันและจำเลยที่ 1 ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้ ว. เพียงครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินค่ารักษาพยาบาล 50,000 บาท โจทก์จึงรับช่วงสิทธิของ ว. มาเรียกร้องค่าเสียหายส่วนนี้จากจำเลยที่ 1 ได้ครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 25,000 บาท กรณีนี้มิได้นำบทบัญญัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 442 มาใช้บังคับกับ ว. แต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 142,387 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 137,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่ารักษาพยาบาลที่โจทก์ชดใช้ให้นางสาววราภรณ์ไปครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 25,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2548 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง จึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมาแล้วว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถกระบะหมายเลขทะเบียน บท 2031 ฉะเชิงเทรา ไว้จากนางไฉน ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัทพาณิชย์การประกันภัยจำกัด ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นผู้รับประกันภัยรถกระบะหมายเลขทะเบียน บท 2701 ฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2547 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 ขับรถที่บริษัทพาณิชย์การประกันภัย จำกัด รับประกันภัยไว้ข้างต้น ไปตามถนนพนมสารคาม – สนามชัยเขต จากด้านอำเภอพนมสารคาม มุ่งหน้าไปทางอำเภอสนามชัยเขต เมื่อมาถึงหน้าโรงเรียนกาญจนาภิเษก ตำบลเกาะขนุน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา จำเลยที่ 1 เปลี่ยนช่องเดินรถไปทางด้านขวา จึงเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ซึ่งแล่นตามมาในทิศทางเดียวกันทางด้านขวา โดยมีนายวีรยุทธเป็นผู้ขับและมีนางสาววราภรณ์โดยสารมาด้วย จากอุบัติเหตุดังกล่าวทำให้รถทั้งสองคันได้รับความเสียหายและนางสาววราภรณ์ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุที่รถทั้งสองคันเฉี่ยวชนกันเกิดจากความประมาทของนายวีรยุทธและจำเลยที่ 1 ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน โจทก์ชำระค่าซ่อมรถให้นางไฉน 225,000 บาท และชำระค่ารักษาพยาบาลให้นางสาววราภรณ์ 50,000 บาท
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์รับช่วงสิทธิจากนางสาววราภรณ์มาเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระค่ารักษาพยาบาลครึ่งหนึ่งตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้หรือไม่ เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้นำบทบัญญัติตามมาตรา 442 มาใช้บังคับกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนางสาววราภรณ์แต่อย่างใด นางสาววราภรณ์เป็นผู้โดยสารมาในรถที่นายวีรยุทธขับและโจทก์รับประกันภัยไว้ ดังนั้น โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยจึงมีหน้าที่ตามสัญญาประกันภัยต้องชำระค่ารักษาพยาบาลให้แก่นางสาววราภรณ์ แล้วรับช่วงสิทธิของนางสาววราภรณ์มาไล่เบี้ยเอาจากผู้ต้องรับผิดจากการที่รถเกิดเฉี่ยวชนกัน เมื่อเหตุที่รถเฉี่ยวชนกันเกิดจากความประมาทของนายวีรยุทธและจำเลยที่ 1 ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้นางสาววราภรณ์เพียงครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินค่ารักษาพยาบาล 50,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยให้โจทก์รับช่วงสิทธิของนางสาววราภรณ์มาเรียกร้องค่าเสียหายส่วนนี้จากจำเลยที่ 1 ได้ครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 25,000 บาท ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share