แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำเงินมาวางต่อศาลเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 309 ทวิ วรรคสาม ประกอบมาตรา 296 วรรคห้า จำเลยจึงชอบที่จะเรียกคืนได้หากไม่มีบุคคลใดยื่นคำร้องต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีคำสั่งยกคำร้องเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ยื่นคำร้องนั้นชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนได้ตามมาตรา 309 ทวิ วรรคสาม ประกอบมาตรา 296 วรรคหก เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของจำเลยและไม่ปรากฏว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือมีบุคคลอื่นใดที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากการยื่นคำร้องของจำเลยนั้น ยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจนล่วงพ้นกำหนดเวลาสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องและคดีถึงที่สุดแล้ว ดังนั้นสิทธิของจำเลยที่จะเรียกร้องเอาเงินประกันดังกล่าวคืนจากศาล จึงถือได้ว่าเป็นสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่มีต่อบุคคลภายนอกให้ชำระเงินจำนวนหนึ่งนอกจากที่กำหนดไว้ตามมาตรา 310 และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจอายัดสิทธิเรียกร้องเช่นว่านั้นได้ตามมาตรา 310 ทวิ ประกอบมาตรา 278 และมาตรา 282 (2)
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 874,538.74 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าปรับ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2268 และ 2269 (ต่อมาเปลี่ยนเป็นโฉนดเลขที่ 3585) ตำบลสำโรง อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออกขายทอดตลาดชำระ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดชำระจนครบ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ จำเลยไม่ชำระ โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2268 และโฉนดเลขที่ 3585 ตำบลสำโรง อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เพื่อขายทอดตลาด และโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินทั้งสองแปลงได้จากการขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2554 ในราคา 990,000 บาท จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด โจทก์ยื่นคำคัดค้าน ระหว่างการไต่สวน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำเงินมาวางเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์จำนวน 99,000 บาท ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2555 คดีถึงที่สุด วันที่ 11 มิถุนายน 2555 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักงานศาลชั้นต้นว่า โจทก์แถลงขอให้อายัดสิทธิเรียกร้องจำนวน 99,000 บาท ของจำเลยที่นำมาวางประกันความเสียหายดังกล่าวเพื่อชำระหนี้ตามหมายบังคับคดีของศาล
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในหนังสือของเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า เงินที่นำมาวางเพื่อประกันความเสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 ทวิ วรรคสาม ที่ให้นำบทบัญญัติมาตรา 296 วรรคสาม วรรคสี่ และวรรคห้า มาใช้บังคับ มิใช่การนำมาวางเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จะมาขออายัดไม่ได้ แจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 9 มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นส่งเงิน 99,000 บาท ที่จำเลยนำมาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจังหวัดสงขลาเพื่อบังคับชำระหนี้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ามีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าฎีกาของจำเลยที่ว่า เมื่อคดีที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดยังไม่ถึงที่สุด โจทก์ไม่มีสิทธิอายัดเงินที่จำเลยนำมาวางประกันนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยซึ่งยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดนำเงินมาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 ทวิ วรรคสาม ประกอบมาตรา 296 วรรคห้า จำเลยจึงชอบที่จะเรียกคืนได้หากไม่มีบุคคลใดยื่นคำร้องต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีคำสั่งยกคำร้อง เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ยื่นคำร้องนั้นชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนได้ตามมาตรา 309 ทวิ วรรคสาม ประกอบมาตรา 296 วรรคหก คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของจำเลย และไม่ปรากฏว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือมีบุคคลอื่นใดที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากการยื่นคำร้องของจำเลยนั้น ยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจนล่วงพ้นกำหนดเวลาสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าวของจำเลยและคดีถึงที่สุดแล้ว ดังนั้น สิทธิของจำเลยที่เรียกร้องเอาเงินประกันดังกล่าวคืนจากศาลชั้นต้น จึงถือได้ว่าเป็นสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่มีต่อบุคคลภายนอกให้ชำระเงินจำนวนหนึ่งนอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา 310 และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจอายัดสิทธิเรียกร้องเช่นว่านั้นได้ตามมาตรา 310 ทวิ ประกอบมาตรา 278 และมาตรา 282 (2) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์สินแปลงอื่น ๆ ของจำเลยอีกเกินความจำเป็นโดยไม่สุจริต ทำให้จำเลยเสียหายนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องไปว่ากล่าวต่างหากจากคดีนี้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ