คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5043/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะฟ้องเป็นคดีเดียวกันและมีคู่สัญญาและสัญญาอย่างเดียวกัน แต่คำฟ้องของโจทก์แยกเป็นการฟ้องบังคับตามสัญญาสองสัญญาซึ่งมีมูลหนี้และที่มาคนละครั้งคนละคราว โดยสัญญาทั้งสองทำขึ้นห่างกันถึงห้าปี มูลหนี้ตามสัญญาฉบับที่สองเป็นการชดเชยราคาบ้านของโจทก์ที่ อ. รื้อออกไปขายแตกต่างกับครั้งแรกที่อ้างว่าเป็นการจะซื้อจะขายกันอย่างแท้จริง แม้จะมีมูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกัน แต่โดยเนื้อหาแล้วสัญญาทั้งสองหาได้มีลักษณะเป็นการทำสัญญาที่ต่อเนื่องและเกี่ยวพันกันไม่ รวมทั้งพยานหลักฐานก็แยกออกได้เป็นคนละชุดกันจึงถือได้ว่ามีมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันได้ เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธความรับผิด ขอให้ยกฟ้อง และเป็นการฟ้องเพื่อให้ปฏิบัติกาชำระหนี้ตามสัญญาคือให้โอนที่ดินสองแปลงตามคำฟ้องแก่โจทก์ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์เป็นคำขอหลัก ส่วนคำขอให้จดทะเบียนทางภาระจำยอมเป็นคำขอต่อเนื่อง การคำนวณทุนทรัพย์ต้องแยกจากกันและต้องคำนวณตามราคาที่ดินในขณะที่ยื่นคำฟ้อง ประกอบกับคำฟ้องของโจทก์ก็ไม่ได้มีคำขอว่า ถ้าจำเลยโอนที่ดินตามคำฟ้องแก่โจทก์ไม่ได้ก็ให้ชำระเงินคืนหรือชดใช้ค่าเสียหายอีกด้วย จึงไม่มีจำนวนเงินที่เรียกร้องที่จะนำมาใช้คำนวณเป็นทุนทรัพย์ขณะยื่นฟ้องคดีนี้อีก เมื่อมูลหนี้ตามสัญญาฉบับที่หนึ่งมีราคาที่ดินในขณะยื่นคำฟ้องอันถือเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นและในชั้นอุทธรณ์ ไม่เกินห้าหมื่นบาท ย่อมต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แต่มูลหนี้ตามสัญญาฉบับที่สองมีราคาที่ดินในขณะยื่นคำฟ้องอันถือเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นและในชั้นอุทธรณ์เกินห้าหมื่นบาท ย่อมไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์บางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 666 ตำบลรัตนะวาปี อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย กว้าง 12 เมตร ยาว 32 เมตรครึ่ง เนื้อที่ 98 ตารางวา พร้อมจดทะเบียนภาระจำยอมเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะกว้าง 3 เมตร และโอนที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวบางส่วนเนื้อที่ 1 ไร่ พร้อมจดทะเบียนภาระจำยอมทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะกว้าง 6 เมตร แก่โจทก์โดยให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมในการดำเนินการดังกล่าวกึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ในข้อที่ว่า คดีโจทก์ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องนายนพนิรันดร์ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายอุทัย ผู้ตาย ตามสัญญาฉบับที่หนึ่ง ให้โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 666 เลขที่ดิน 1 ตำบลรัตนะวาปี อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย เนื้อที่ 98 ตารางวา ตามสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาวางมัดจำของที่ดิน ลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2539 ซึ่งนายอุทัยทำสัญญาจะซื้อจะขายแก่โจทก์ในราคา 50,000 บาท กำหนดจดทะเบียนโอนภายในระยะเวลา 3 ปี เพราะที่ดินทั้งแปลง เนื้อที่ 9 ไร่ 1 งาน 19.50 ตารางวา ติดจำนองอยู่ และตามสัญญาฉบับที่สอง ให้โอนที่ดินแปลงเดียวกัน เนื้อที่ 1 ไร่ ตามสัญญาซื้อขายลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2544 ซึ่งนายอุทัยขายแก่โจทก์ในราคา 50,000 บาท โจทก์ชำระราคาทั้งหมดและนายอุทัยส่งมอบที่ดินส่วนนี้ให้แก่โจทก์แล้ว และมีกำหนดจดทะเบียนโอนเมื่อนายอุทัยไถ่ถอนจำนองจากธนาคารแล้ว และโจทก์มีคำขอจดทะเบียนทางภาระจำยอมแก่ที่ดินทั้งสองแปลงนี้ด้วย คดีนี้แม้โจทก์จะฟ้องเป็นคดีเดียวกันและมีคู่สัญญาและสัญญาอย่างเดียวกันก็ตาม แต่คำฟ้องของโจทก์แยกเป็นการฟ้องบังคับตามสัญญาสองสัญญา ซึ่งมีมูลหนี้และที่มาคนละครั้งคนละคราว โดยสัญญาทั้งสองทำขึ้นห่างกันถึงห้าปี มูลหนี้ตามสัญญาฉบับที่สองมีที่มาตามที่โจทก์อ้างว่าเป็นการชดเชยราคาบ้านของโจทก์ที่นายอุทัยรื้อออกไปขายแตกต่างกับครั้งแรกที่อ้างว่าเป็นการจะซื้อจะขายกันอย่างแท้จริง แม้จะมีมูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกัน แต่โดยเนื้อหาแล้วสัญญาทั้งสองหาได้มีลักษณะเป็นการทำสัญญาที่ต่อเนื่องและเกี่ยวพันกันไม่ รวมทั้งพยานหลักฐานก็แยกออกได้เป็นคนละชุดกัน จึงถือได้ว่ามีมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันได้ เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธความรับผิด ขอให้ยกคำฟ้อง และเป็นการฟ้องเพื่อให้ปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาคือให้โอนที่ดินสองแปลงตามคำฟ้องแก่โจทก์ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์เป็นคำขอหลัก ส่วนคำขอให้จดทะเบียนทางภาระจำยอมเป็นคำขอต่อเนื่อง ดังนั้น การคำนวณทุนทรัพย์ต้องแยกจากกันและต้องคำนวณตามราคาที่ดินในขณะที่ยื่นคำฟ้อง โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมีเนื้อที่รวมกัน 1 ไร่ 98 ตารางวา มีราคาประเมินของกรมธนารักษ์ตารางวาละ 50 บาท (ที่ถูกน่าจะเป็น 250 บาท) รวมที่ดินทั้งสองแปลงมีทุนทรัพย์ 124,500 บาท เท่ากับคำนวณเป็นทุนทรัพย์ตามสัญญาฉบับที่หนึ่งเป็นเงิน 24,500 บาท และทุนทรัพย์ตามสัญญาฉบับที่สอง เป็นเงิน 100,000 บาท ซึ่งโจทก์ถือเป็นทุนทรัพย์ในการชำระค่าขึ้นศาล เป็นเงิน 1,000 บาท โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยโต้แย้งทุนทรัพย์ตามคำฟ้องนี้ และศาลชั้นต้นก็ถือเอาเป็นทุนทรัพย์ของคดีนี้มาโดยตลอด เมื่อโจทก์อุทธรณ์ก็ถือเอาจำนวนเงิน 124,500 บาท เป็นทุนทรัพย์ในการชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เป็นเงิน 2,490 บาท จำเลยแก้อุทธรณ์ก็ไม่ได้โต้แย้งเรื่องทุนทรัพย์และไม่ได้ต่อสู้ว่าอุทธรณ์ของโจทก์ต้องห้ามอุทธรณ์แต่อย่างใด ประกอบกับกรณีนี้สัญญาทั้งสองได้ทำมาก่อนฟ้องคดีนี้ โดยสัญญาฉบับที่หนึ่งเป็นเวลาก่อนฟ้องคดีนี้ 12 ปี และสัญญาฉบับที่สองเป็นเวลาก่อนฟ้องคดีนี้ 6 ปีเศษ ราคาตามสัญญาทั้งสองย่อมถือเอาเป็นราคาทรัพย์สินในขณะยื่นคำฟ้องคดีนี้ไม่ได้ และคำฟ้องของโจทก์ก็ไม่ได้มีคำขอว่า ถ้าจำเลยโอนที่ดินตามคำฟ้องแก่โจทก์ไม่ได้ก็ให้ชำระเงินคืนหรือชดใช้ค่าเสียหายอีกด้วย จึงไม่มีจำนวนเงินที่เรียกร้องที่จะนำมาใช้คำนวณเป็นทุนทรัพย์ขณะยื่นฟ้องคดีนี้อีกเช่นกัน เมื่อปรากฏว่ามูลหนี้ตามสัญญาฉบับที่หนึ่งมีราคาที่ดินในขณะยื่นคำฟ้องอันถือเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นและในชั้นอุทธรณ์ ไม่เกินห้าหมื่นบาท ย่อมต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แต่มูลหนี้ตามสัญญาฉบับที่สองมีราคาที่ดินในขณะยื่นคำฟ้องอันถือเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นและในชั้นอุทธรณ์เกินห้าหมื่นบาท ย่อมไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกอุทธรณ์ของโจทก์ในมูลหนี้ตามสัญญาฉบับที่สองนี้ด้วย จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ส่วนฎีกาของโจทก์อีกข้อที่ขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีนั้น เห็นว่า คดีนี้ต้องมีพิจารณาพิพากษาไปตามลำดับชั้นศาล ศาลฎีกาไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีนี้ทั้งที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังไม่ได้พิจารณาพิพากษาตามอุทธรณ์ของโจทก์เลยได้ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามทุนทรัพย์ 124,500 บาท เป็นค่าขึ้นศาล 2,490 บาท แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยเฉพาะปัญหาที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โดยไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีหรือเนื้อหาแห่งคดี อันเป็นการวินิจฉัยในปัญหาเกี่ยวกับคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เท่านั้น จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เฉพาะที่เกี่ยวกับสัญญาฉบับที่สอง ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับอุทธรณ์ของโจทก์ส่วนนี้ไว้พิจารณาพิพากษาใหม่ไปตามรูปความ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นในชั้นฎีกานี้นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share