แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับมอบครุภัณฑ์และชำระค่าครุภัณฑ์ตามสัญญา ซื้อขายพร้อมติดตั้งครุภัณฑ์ประจำสำนักงานและห้องอาหาร อาคารส่วนบัญชาการกองทัพเรือ กับโจทก์ แต่จำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาก่อนส่งมอบครุภัณฑ์ ทั้งริบหลักประกันและเรียกร้องให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับมอบครุภัณฑ์และชำระค่าครุภัณฑ์ตามสัญญา พร้อมคืนหลักประกันตามสัญญาแก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ปฏิบัติผิดสัญญา จำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันชอบแล้ว จึงไม่ต้องชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระค่าปรับพร้อมดอกเบี้ย เห็นว่า คดีนี้กองทัพเรือ จำเลย เป็นนิติบุคคล สังกัดกองทัพไทย กระทรวงกลาโหม จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และสัญญาพิพาทเป็นสัญญาซื้อขายพร้อมติดตั้งครุภัณฑ์ประจำสำนักงานและห้องอาหารระหว่างโจทก์และจำเลย จึงเป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ ที่สืบเนื่องจากการจัดให้มีเครื่องมือที่สำคัญและจำเป็นต่อการจัดทำบริการสาธารณะของจำเลย ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง สัญญาพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้ จึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๖๐/๒๕๕๗
วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลจังหวัดตลิ่งชัน
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดตลิ่งชันส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เค.พี.ที.กลอรี่ โดยนางเพ็ญศรี สุขุมเงิน หุ้นส่วนผู้จัดการ โจทก์ ยื่นฟ้อง กองทัพเรือ จำเลย ต่อศาลจังหวัดตลิ่งชัน เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ส ๑๘๒๘/๒๕๕๕ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๔ จำเลยโดยเจ้ากรมช่างโยธาทหารเรือ ผู้รับมอบอำนาจจากผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ตกลงทำสัญญาซื้อพร้อมติดตั้งครุภัณฑ์ประจำสำนักงานและห้องอาหาร อาคารส่วนบัญชาการกองทัพเรือกับโจทก์ ตามสัญญาเลขที่ ๑๕๑/งป.๒๕๕๔ และได้ทำหนังสือขอเข้าใช้พื้นที่เพื่อปฏิบัติงานตามสัญญา โดยโจทก์ได้ส่งตัวอย่างวัสดุอุปกรณ์ประกอบของครุภัณฑ์ทั้งหมดให้คณะกรรมการของจำเลยพิจารณา ต่อมาโจทก์ได้ทำแบบ SHOP DRAWING กั้นผนังและรายละเอียดประตู เคาน์เตอร์เตรียมอาหาร การจัดวางครุภัณฑ์ชั้น ๑ ถึงชั้น ๖ ให้จำเลยพิจารณาเพื่ออนุมัติ ซึ่งจำเลยหรือตัวแทนคณะกรรมการของจำเลยมิได้ตรวจพิจารณาอนุมัติภายในเวลาสมควรทั้งที่โจทก์ได้เร่งรัดโดยตลอด ซึ่งในระหว่างรอผลอนุมัติโจทก์เกรงว่าจะล่าช้าจึงจัดซื้อเตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นในการผลิตครุภัณฑ์และจัดทำตัวอย่างครุภัณฑ์ส่งให้คณะกรรมการของจำเลยตรวจพิจารณา แต่คณะกรรมการของจำเลยยังคงเพิกเฉยไม่แจ้งผลการตรวจพิจารณาให้โจทก์ทราบ เป็นเหตุให้ระยะเวลาการส่งมอบครุภัณฑ์ต้องล่าช้าออกไป ต่อมาโจทก์ส่งตัวอย่างครุภัณฑ์ให้จำเลยทั้งหมดสามครั้ง แต่คณะกรรมการของจำเลยไม่วินิจฉัยการขออนุมัติวัสดุอุปกรณ์ โดยอ้างว่าไม่เป็นไปตามยี่ห้อที่กำหนด นอกจากนี้ยังได้วินิจฉัยว่า SHOP DRAWING ไม่เรียบร้อย เพราะไม่แสดงชั้นที่วางครุภัณฑ์และสถาปนิกไม่ลงลายมือชื่อ การกระทำของคณะกรรมการของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียเวลาในการทำงาน ซึ่งภายหลังครบกำหนดส่งมอบครุภัณฑ์คณะกรรมการของจำเลยได้รับทราบอุปสรรคในการจัดทำ SHOP DRAWING โดยให้โจทก์ติดต่อขอเข้าพื้นที่กับนายทหารผู้ควบคุมงาน อันแสดงว่าจำเลยยอมขยายระยะเวลาปฏิบัติงานตามสัญญาให้โจทก์โดยปริยาย ซึ่งไม่ใช่ความบกพร่องของจำเลย โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งส่งมอบพัสดุครุภัณฑ์ให้จำเลย แต่จำเลยไม่ยอมรับโดยไม่แจ้งเหตุ กลับมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทำแผนระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการส่งมอบงานให้จำเลยพิจารณาใหม่ และก่อนถึงกำหนดให้โจทก์ทำแผนส่งมอบครุภัณฑ์จำเลยกลับมีหนังสือบอกเลิกสัญญา โดยอ้างว่าล่วงเลยระยะเวลาส่งมอบสิ่งของตามสัญญาทั้งริบหลักประกันและเรียกร้องให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับมอบครุภัณฑ์และชำระค่าครุภัณฑ์ตามสัญญา พร้อมคืนหลักประกันตามสัญญาแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติ จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ก่อนที่โจทก์จะนำคดีนี้มาฟ้องต่อศาลโจทก์ได้มีหนังสืออุทธรณ์โต้แย้งไปยังจำเลยว่า การบอกเลิกสัญญาไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญามาโดยตลอดและไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า หลังจากที่จำเลยทำสัญญาพิพาทกับโจทก์ ในงวดงานที่ ๑ โจทก์จัดส่ง SHOP DRAWING จำนวน ๔ รายการ จำเลยตรวจสอบพบว่าไม่ถูกต้องตามหลักวิชาชีพสถาปัตยกรรม ส่วนการนำครุภัณฑ์มาแสดงให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุพิจารณาเห็นว่า ขนาดและรูปแบบไม่เป็นไปตามหลักวิชาช่าง โจทก์มิได้ส่งมอบสิ่งของและงวดงานให้จำเลยตามสัญญา การที่โจทก์ใช้ผลิตภัณฑ์อื่นที่มีคุณลักษณะเหมือนกับผลิตภัณฑ์ที่กำหนด โจทก์ต้องชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นแต่โจทก์มิได้ดำเนินการดังกล่าว จำเลยจึงมีสิทธิที่จะไม่รับสิ่งของยี่ห้ออื่นที่โจทก์ขออนุมัติเพราะเป็นวัสดุครุภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพ โจทก์สำคัญผิดในการขออนุญาตเข้าทำงาน เพราะไม่ได้ศึกษารายละเอียดของรายการประกอบแบบเงื่อนไขและข้อผูกพันในการก่อสร้างของกองออกแบบ กรมช่างโยธาทหารเรือ จำเลยไม่มีส่วนผิดในการส่งมอบพื้นที่หรืออนุญาตให้โจทก์เข้าพื้นที่ล่าช้า ทั้งคำแนะนำต่อโจทก์เรื่องวิธีการจัดทำ SHOP DRAWING มิใช่การขยายระยะเวลาตามสัญญาโดยปริยาย เมื่อโจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาจำเลยจึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกัน จำเลยจึงไม่ต้องชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระค่าปรับ นับถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาถึงวันบอกเลิกสัญญา พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า จำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครอง สัญญาพิพาทเป็นสัญญาทางปกครอง ในสัญญาข้อ ๒ มีข้อกำหนดว่า กรณีที่เอกสารแนบท้ายสัญญาขัดแย้งกัน โจทก์ผู้ขายจะต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของจำเลยผู้ซื้อ อันเป็นสัญญาทางปกครอง จึงเป็นคดีปกครองอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดตลิ่งชันพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยมีฐานะเป็นนิติบุคคล สังกัดกระทรวงกลาโหม ตามพระราชบัญญัติระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่สัญญาซื้อพร้อมติดตั้งครุภัณฑ์ประจำสำนักงานและห้องอาหารส่วนบัญชาการกองทัพเรือระหว่างโจทก์และจำเลย มีสาระสำคัญเพียงให้โจทก์ดำเนินการกั้นห้อง และติดตั้งประตูพร้อมวงกบห้องเก็บประวัติกำลังพล กรมข่าว ห้องเวร ศูนย์ข่าวกรอง ห้องประชุมและห้องเตรียมอาหาร ดำเนินการจัดหาครุภัณฑ์ สำนักงานสำเร็จรูปพร้อมติดตั้ง ดำเนินการจัดหาครุภัณฑ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ครุภัณฑ์สำนักงานสำเร็จรูปและดำเนินการจัดทำเคาน์เตอร์เตรียมอาหาร สัญญาพิพาทดังกล่าวจึงเป็นสัญญาจัดหาพัสดุธรรมดาเพื่อสนับสนุนภารกิจหลักของจำเลย ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ จึงมิใช่สัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว แต่เป็นสัญญาทางแพ่งที่มีหน่วยงานทางปกครองเป็นคู่สัญญาเท่านั้น ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยเป็นนิติบุคคล สังกัดกองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๗ และมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ตกลงทำสัญญาซื้อพร้อมติดตั้งครุภัณฑ์ประจำสำนักงานและห้องอาหาร อาคารส่วนบัญชาการกองทัพเรือกับโจทก์ ตามสัญญาเลขที่ ๑๕๑/งป.๒๕๕๔ ลงวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๔ โดยข้อ ๑ กำหนดว่าจำเลยและโจทก์ตกลงซื้อขายพร้อมติดตั้งครุภัณฑ์ประจำสำนักงานและห้องอาหาร อาคารส่วนบัญชาการกองทัพเรือ ซึ่งจะต้องเป็นของที่มีคุณภาพและคุณสมบัติไม่ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ในเอกสารแนบท้ายสัญญา ข้อ ๒ กำหนดว่า ให้เอกสารภาคผนวก ๑ ถึง ๕ เป็นเอกสารแนบท้ายสัญญาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา โดยในเอกสารภาคผนวก ๒ ค่าจ้างและการจ่ายเงินได้กำหนดการจ่ายเงินค่าจ้างตามงวดงานเป็น ๙ งวด ซึ่งในงวดที่ ๑ กำหนดให้โจทก์จัดทำแบบ SHOP DRAWING การกั้นห้องและรายละเอียดประตูสำหรับห้องเก็บประวัติกำลังพล ชั้น ๑ กรมข่าว ชั้น ๒ ห้องเวร ศูนย์ข่าวกรอง ห้องควบคุม (ห้องประชุม) และห้องเตรียมอาหาร ชั้น ๖ และการจัดทำแบบ SHOP DRAWING ที่ผ่านการตรวจรับ ส่วนงวดที่ ๓ ถึงงวดที่ ๘ กำหนดให้ดำเนินการจัดหาครุภัณฑ์สำนักงานสำเร็จรูปและติดตั้งที่ชั้น ๑ ถึงชั้น ๖ ซึ่งเป็นพื้นที่ปฏิบัติงานของกรมกำลังพลทหารเรือ กรมข่าวทหารเรือ กรมยุทธการทหารเรือ สำนักงานปลัดบัญชีทหารเรือ และสำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ ตามแบบ SHOP DRAWING ที่ผ่านการตรวจรับ และงวดที่ ๙ กำหนดให้ดำเนินการจัดหาครุภัณฑ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ครุภัณฑ์สำนักงานสำเร็จรูป ดำเนินการจัดทำเคาน์เตอร์เตรียมอาหาร และงานอื่นๆ ทั้งหมดตามรูปแบบและรายการซึ่งอยู่ในเอกสารภาคผนวก ๕ บัญชีแบบและขอบเขตงานครุภัณฑ์ แบบและรายการประกอบแบบ จากข้อกำหนดในสัญญาดังกล่าวเป็นกรณีที่จำเลยได้ว่าจ้างให้โจทก์ออกแบบปรับปรุงพื้นที่ปฏิบัติงานพร้อมติดตั้งครุภัณฑ์สำนักงานสำเร็จรูปและครุภัณฑ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ครุภัณฑ์สำนักงานสำเร็จรูป ภายในอาคารส่วนบัญชาการกองทัพเรือ ชั้น ๑ ถึงชั้น ๖ ดังนั้น สัญญาซื้อพร้อมติดตั้งครุภัณฑ์ประจำสำนักงานและห้องอาหาร อาคารส่วนบัญชาการกองทัพเรือระหว่างโจทก์กับจำเลย จึงเป็นสัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายหนึ่งซึ่งได้แก่ จำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครอง และมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงพื้นที่ปฏิบัติงานและติดตั้งระบบอำนวยความสะดวกภายในอาคารส่วนบัญชาการกองทัพเรือ ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานของจำเลยสำหรับเป็นสถานที่เตรียมกำลังกองทัพเรือ การป้องกันราชอาณาจักร และดำเนินการเกี่ยวกับการใช้กำลังกองทัพเรือตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่บัญญัติในมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาที่จัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคอันเป็นเครื่องมือที่สำคัญจำเป็นที่จำเลยใช้ในการดำเนินกิจการทางปกครองหรือจัดทำบริการสาธารณะด้านความมั่นคงของประเทศตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยให้บรรลุผล อันเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยบอกเลิกสัญญาและขอให้จำเลยชำระเงินค่าเสียหายจากการที่จำเลยบอกเลิกสัญญา และจากการจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ สี ครุภัณฑ์จนแล้วเสร็จพร้อมส่งมอบและติดตั้ง พร้อมคืนหลักประกันตามสัญญาให้แก่โจทก์ ส่วนจำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาและขอให้โจทก์ชำระค่าปรับให้แก่จำเลย ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญาเกี่ยวกับหน้าที่ตามสัญญาซื้อพร้อมติดตั้งครุภัณฑ์ประจำสำนักงานและห้องอาหาร อาคารส่วนบัญชาการกองทัพเรือ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับมอบครุภัณฑ์และชำระค่าครุภัณฑ์ตามสัญญา กรณีจำเลยทำสัญญาซื้อขายพร้อมติดตั้งครุภัณฑ์ประจำสำนักงานและห้องอาหาร อาคารส่วนบัญชาการกองทัพเรือ กับโจทก์ แต่จำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญา ก่อนส่งมอบครุภัณฑ์ตามสัญญา ทั้งริบหลักประกันและเรียกร้องให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับมอบครุภัณฑ์และชำระค่าครุภัณฑ์ตามสัญญา พร้อมคืนหลักประกันตามสัญญาแก่โจทก์ ก่อนที่โจทก์จะนำคดีมาฟ้อง โจทก์ได้มีหนังสืออุทธรณ์โต้แย้งไปยังจำเลยว่า การบอกเลิกสัญญาไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงต้องพิจารณาว่า สัญญาพิพาทดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ บัญญัติให้สัญญาทางปกครองหมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคล ซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ คดีนี้กองทัพเรือ จำเลย เป็นนิติบุคคล สังกัดกองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๗ และมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์มิได้ส่งมอบสิ่งของและงวดงานให้จำเลยตามสัญญา จำเลยจึงมีสิทธิที่จะไม่รับสิ่งของยี่ห้ออื่นที่ไม่ได้ตกลงไว้ตามสัญญา เพราะเป็นวัสดุครุภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพ เมื่อโจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาจำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันแล้ว จึงไม่ต้องชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระค่าปรับพร้อมดอกเบี้ย เห็นว่า สัญญาซื้อขายพร้อมติดตั้งครุภัณฑ์ประจำสำนักงานและห้องอาหารระหว่างโจทก์และจำเลย เป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ ที่สืบเนื่องจากการจัดให้มีเครื่องมือที่สำคัญและจำเป็นต่อการจัดทำบริการสาธารณะของจำเลย ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับมอบครุภัณฑ์และชำระค่าครุภัณฑ์ตามสัญญา พร้อมคืนหลักประกันตามสัญญาแก่โจทก์ สัญญาพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้ จึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด เค.พี.ที.กลอรี่ โดยนางเพ็ญศรี สุขุมเงิน หุ้นส่วนผู้จัดการ โจทก์ กองทัพเรือ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ