แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายเป็นร้านค้าชุมชนก่อตั้งโดยราษฎรในชุมชนมีสมาชิกประมาณ 700 คน สมาชิกแต่ละคนต้องลงหุ้นคนละ 1 หุ้น ส. เป็นผู้ถือหุ้นและเป็นประธานกรรมการของผู้เสียหาย ภายหลังจาก ว. พนักงานบัญชีของผู้เสียหายตรวจสอบพบว่า สินค้าในร้านหายไป ว. แจ้งให้ ส. และคณะกรรมการทราบถึงกรณีสินค้าขาดจำนวนภายในเดือนมีนาคม 2553 และคณะกรรมการลงมติให้มีหนังสือถึงจำเลยพนักงานขายของผู้เสียหายให้ไปชี้แจง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า ส. และคณะกรรมการรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดภายในเดือนดังกล่าว ส. เป็นสมาชิกของผู้เสียหายโดยเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง ส. จึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยข้อหายักยอกด้วย เมื่อ ส. ไปร้องทุกข์ภายในเดือนสิงหาคม 2553 ซึ่งพ้นกำหนดสามเดือนนับแต่วันที่ ส. และคณะกรรมการรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีจึงขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และให้จำเลยคืนทรัพย์ที่ยักยอกไปหรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน 214,781 บาท แก่ร้านค้าชุมชนบ้านโพธิ์ลอย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก จำคุก 1 ปี และให้จำเลยคืนทรัพย์ที่ยักยอกไปหรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน 214,781 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า ร้านค้าชุมชนบ้านโพธิ์ลอยก่อตั้งขึ้นโดยราษฎรในชุมชนร่วมกันลงหุ้นเป็นสมาชิก มีวัตถุประสงค์ในการค้าขายสินค้าประเภทเครื่องอุปโภคบริโภค โดยสมาชิกจะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินปันผล มีกรรมการ 15 คน มีนายสุนทร เป็นประธานกรรมการ นางละมัย เป็นกรรมการและเหรัญญิก วันที่ 1 มีนาคม 2551 คณะกรรมการของผู้เสียหายจ้างจำเลยเป็นพนักงานขาย ต่อมาวันที่ 1 มีนาคม 2553 สัญญาจ้างจำเลยครบกำหนดและจำเลยไม่ได้สมัครเป็นพนักงานของผู้เสียหายต่อ แต่ผู้เสียหายยังไม่ได้จ้างพนักงานขายคนใหม่ จึงให้จำเลยทำงานต่อไปจนกระทั่งวันที่ 10 มีนาคม 2553 จำเลยจึงพ้นจากตำแหน่งพนักงานขาย หลังจากนั้นนายวัชรินทร์ พนักงานบัญชีของผู้เสียหายดำเนินการตรวจสอบจำนวนสินค้าคงเหลือในวันที่ 11 มีนาคม 2553 ปรากฏว่าสินค้าประเภทปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช อาหารสัตว์ ถังแก๊ส และถังน้ำพลาสติก ขาดจำนวนไปประมาณ 500 รายการ รวมมูลค่าเป็นเงินประมาณ 214,781 บาท วันที่ 1 เมษายน 2553 นายสุนทรส่งจดหมายนัดให้จำเลยไปชี้แจงกรณีถังแก๊สและถังน้ำพลาสติกขาดจำนวนในวันที่ 9 เมษายน 2553 ตามจดหมาย แต่จำเลยไม่ไปชี้แจง วันที่ 20 พฤษภาคม 2553 มีการประชุมคณะกรรมการร้านค้าชุมชนบ้านโพธิ์ลอย โดยมีนายสุนทรและนางละมัยร่วมประชุมด้วย นายสุนทรแจ้งเรื่องสินค้าขาดจำนวนให้ที่ประชุมทราบ วันที่ 9 สิงหาคม 2553 คณะกรรมการชุดดังกล่าวทำหนังสือมอบอำนาจให้นายสุนทรดำเนินคดีแก่จำเลย ตามหนังสือมอบอำนาจ ต่อมานายสุนทรร้องทุกข์ขอให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรไร่สะท้อน ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหายักยอก
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีขาดอายุความแล้วหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า ร้านค้าชุมชนบ้านโพธิ์ลอยก่อตั้งขึ้นโดยราษฎรในชุมชนร่วมกันลงหุ้นเป็นสมาชิก หากมีการกระทำความผิดอาญาเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผลประโยชน์ของสมาชิกย่อมถือว่าสมาชิกทุกคนเป็นผู้เสียหาย ส่วนการพิจารณาว่าผู้เสียหายร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ต้องพิจารณาถึงการรับรู้ของผู้เสียหายแต่ละคน พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า ก่อนวันที่ 20 พฤษภาคม 2553 คงมีเพียงนายสุนทรและนายวัชรินทร์เท่านั้นที่ทราบว่าสินค้าขาดจำนวน แต่กรรมการและสมาชิกคนอื่น ๆ รวมทั้งนางละมัยเพิ่งทราบเรื่องดังกล่าวในวันที่ 20 พฤษภาคม 2553 ส่วนข้อความตามจดหมาย ไม่ปรากฏรายละเอียดว่าสินค้าขาดจำนวนไปกี่รายการ รวมมูลค่าเป็นเงินเท่าใด จึงยังไม่อาจถือได้ว่าคณะกรรมการรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด เมื่อคณะกรรมการรวมทั้งนางละมัยมอบอำนาจให้นายสุนทรดำเนินคดีแก่จำเลยในวันที่ 9 สิงหาคม 2553 แม้นายสุนทรไปร้องทุกข์ภายในวันดังกล่าวหรือในวันที่ 19 สิงหาคม 2553 คดีจึงไม่ขาดอายุความนั้น เห็นว่า ในคดีความผิดอันยอมความได้ที่มีผู้เสียหายหลายคน ผู้เสียหายแต่ละคนย่อมมีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่ผู้ที่กระทำความผิด ก็ต้องมีการร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันที่ผู้เสียหายคนแรกรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด มิฉะนั้นคดีย่อมขาดอายุความ แม้มีผู้เสียหายคนอื่นรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดก่อนวันที่มีการร้องทุกข์ไม่เกินสามเดือน ชั้นพิจารณาโจทก์มีนายสุนทรเป็นพยานเบิกความว่า ผู้เสียหายมีสมาชิกประมาณ 700 คน สมาชิกแต่ละคนต้องลงหุ้นคนละ 1 หุ้น พยานมีหุ้น 1 หุ้น ภายหลังจากนายวัชรินทร์ตรวจสอบพบว่า สินค้าในร้านหายไป นายวัชรินทร์แจ้งให้นายสุนทรและคณะกรรมการทราบถึงกรณีสินค้าขาดจำนวนภายในเดือนมีนาคม 2553 และคณะกรรมการลงมติให้มีหนังสือถึงจำเลยให้ไปชี้แจง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า นายสุนทรและคณะกรรมการรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดภายในเดือนดังกล่าว นายสุนทรเป็นสมาชิกของผู้เสียหายโดยเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งด้วย นายสุนทรจึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยด้วย ส่วนกรณีข้อความตามจดหมาย ไม่ปรากฏรายละเอียดว่าสินค้าขาดจำนวนไปกี่รายการ รวมมูลค่าเป็นเงินเท่าใดนั้นก็เป็นเพียงรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนและมูลค่าของสินค้าที่โจทก์อ้างว่าถูกจำเลยยักยอกไป เมื่อนายสุนทรไปร้องทุกข์ภายในเดือนสิงหาคม 2553 ซึ่งพ้นกำหนดสามเดือนนับแต่วันที่นายสุนทรและคณะกรรมการรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีจึงขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน