คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 17836/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองจะปรากฏว่า ขณะกระทำความผิดจำเลยถือไม้ขนาดใหญ่กว่าแขนของโจทก์ร่วมที่ 1 โจทก์ร่วมที่ 1 จึงจำต้องทำตามที่จำเลยบอกเพราะกลัว แต่โจทก์ก็มิได้บรรยายข้อเท็จจริงดังกล่าวมาในคำฟ้อง การกระทำอนาจารของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 279 วรรคหนึ่ง เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 317
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา เด็กหญิง อ. และนางอารมย์ ผู้เสียหายทั้งสอง ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ร่วมที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุที่ถูกกระทำชำเรา เป็นเงิน 500,000 บาท ส่วนโจทก์ร่วมที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุที่ถูกละเมิดอำนาจปกครอง เป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดตามฟ้อง อีกทั้งโจทก์ร่วมที่ 1 ก็ได้รับบาดเจ็บที่อวัยวะเพศเพียงเล็กน้อย ส่วนที่โจทก์ร่วมที่ 2 อ้างว่าได้รับความเสียหายเพราะเหตุที่ถูกละเมิดอำนาจปกครอง เป็นเงิน 200,000 บาท ก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ หากศาลวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องจำเลยก็ควรต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมที่ 1 ไม่เกิน 10,000 บาท และโจทก์ร่วมที่ 2 ไม่เกิน 5,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรกประกอบวรรคสาม, 317 วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี จำคุก 8 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจาร จำคุก 6 ปี รวมจำคุก 14 ปี ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 เป็นเงิน 200,000 บาท และ 100,000 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน แต่จำเลยไม่ต้องใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์ โจทก์ร่วมทั้งสอง และจำเลยมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า โจทก์ร่วมที่ 1 เกิดเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2542 เป็นบุตรโจทก์ร่วมที่ 2 ตามสำเนาสูติบัตร โจทก์ร่วมที่ 1 พักอาศัยอยู่กับโจทก์ร่วมที่ 2 ที่บ้านเลขที่ 10 ซอยเวียงสระ ตำบลสะเดา อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านของจำเลย ส่วนนายสมเพียร บิดาโจทก์ร่วมที่ 1 นั้นถึงแก่ความตายแล้ว โจทก์ร่วมที่ 2 ประกอบอาชีพทำสวนยางพารา จำเลยประกอบอาชีพซื้อขายน้ำยางพารา ในวันและเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง โจทก์ร่วมที่ 2 พาโจทก์ร่วมที่ 1 ไปร้องทุกข์ต่อพันตำรวจตรีสิทธิพล พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสะเดา โดยกล่าวหาว่า ในวันและเวลาดังกล่าวจำเลยพรากโจทก์ร่วมที่ 1 ไปเสียจากโจทก์ร่วมที่ 2 โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร แล้วกระทำการล่วงละเมิดทางเพศโดยการใช้ลิ้นเลียและใช้ปากดูดอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมที่ 1 เพื่อสนองความใคร่ของตนเอง พันตำรวจตรีสิทธิพลรับคำร้องทุกข์แล้วส่งโจทก์ร่วมที่ 1 ไปตรวจชันสูตรร่างกายที่โรงพยาบาลสะเดา ตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลหรือศพของแพทย์ วันที่ 28 เมษายน 2552 จำเลยเข้ามอบตัว พันตำรวจตรีสิทธิพลสอบสวนจำเลยโดยแจ้งข้อหาว่า กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม จำเลยให้การปฏิเสธ วันที่ 16 กรกฎาคม 2552 พันตำรวจตรีสิทธิพลแจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่จำเลยว่า พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร จำเลยให้การปฏิเสธ ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาและใบต่อคำให้การ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีเพียงโจทก์ร่วมทั้งสองเป็นพยาน ซึ่งย่อมจะต้องเบิกความเพื่อปรักปรำให้จำเลยได้รับโทษ คำเบิกความของโจทก์ร่วมทั้งสองจึงไม่มีน้ำหนักพอให้รับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหานั้น เห็นว่า โจทก์ร่วมทั้งสองไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน คำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ 1 จึงมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่าจำเลยกระทำการตามคำเบิกความของโจทก์ร่วมที่ 1 ดังกล่าวจริง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น โดยแม้ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองจะปรากฏว่าขณะกระทำความผิดจำเลยถือไม้ขนาดใหญ่กว่าแขนของโจทก์ร่วมที่ 1 โจทก์ร่วมที่ 1 จึงจำต้องทำตามที่จำเลยบอกเพราะกลัว แต่โจทก์ก็มิได้บรรยายข้อเท็จจริงดังกล่าวมาในคำฟ้อง การกระทำอนาจารของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคหนึ่ง เท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคหนึ่ง ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ลงโทษจำคุก 4 ปี เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจารแล้ว เป็นจำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share