คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12110/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทางนำสืบของโจทก์ไม่ได้ความว่า จำเลยที่ 3 กับพวกร่วมกันวางแผนจะฆ่าผู้ตายมาก่อน อีกทั้งขณะที่จำเลยที่ 3 กับพวกวิ่งไล่ผู้ตายไปนั้น ก็ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดถืออาวุธ การที่จำเลยที่ 3 กับพวกฆ่าผู้ตายจนถึงแก่ความตายจึงเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นทันทีทันใดในช่วงเวลานั้น ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 กับพวกฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 289, 371 ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคสอง จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 371 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานทำร้ายผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย จำคุก 20 ปี จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ประหารชีวิต และฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับคนละ 100 บาท ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 1ให้ยก ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 8 ปี สำหรับจำเลยที่ 3 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าผู้ตายเคยอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 1 แล้วแยกทางกัน วันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้มีดแทงและฟันผู้ตาย เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ส่วนความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยที่ 3 ฎีกามีใจความสำคัญว่า ไม่มีพยานโจทก์ปากใดเห็นจำเลยที่ 3 ร่วมกับพวกใช้มีดฟันและแทงผู้ตาย ศาลฎีกาเห็นว่า แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นการกระทำของจำเลยที่ 3 ก็ตาม แต่ในเบื้องต้นก็ได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุพยานโจทก์ทั้งสี่ได้ไปร่วมดื่มสุราที่บ้านจำเลยที่ 2 โดยมีจำเลยที่ 3 อยู่ด้วย ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้โทรศัพท์มาหาจำเลยที่ 2 และมีนายสิทธิโชคพูดคุยกับจำเลยที่ 1 ด้วย หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวกจึงได้ขับรถจักรยานยนต์ไปที่สามแยกโพธิ์เสด็จ ข้างวัดโพธิ์เสด็จ นางสาวพันธินากรพยานโจทก์ซึ่งนั่งรถคู่ไปกับจำเลยที่ 1 เบิกความว่า ได้ยินจำเลยที่ 1 พูดคุยทางโทรศัพท์กับจำเลยที่ 2 ตลอดเวลาโดยจำเลยที่ 1 จะขับรถล่อให้ผู้ตายขับรถตามรถจำเลยที่ 1 ไปที่สามแยกโพธิ์เสด็จจำเลยที่ 3 ได้จอดรถจักรยานยนต์บริเวณสามแยกดังกล่าว เมื่อผู้ตายขับรถจักรยานยนต์มาถึงสามแยกโพธิ์เสด็จ จำเลยที่ 3 ได้ขับรถจักรยานยนต์พุ่งชนรถของผู้ตาย ผู้ตายวิ่งหลบหนีไปทางโรงแรมปาล์มนครเข้าซอยบ้านโพธิ์ มีนายนริศกับนายสันติพงษ์และจำเลยที่ 3 วิ่งตามผู้ตายไป สักครู่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ตาย จากนั้นจำเลยที่ 3 ถือมีดสปาต้าขนาดคมมีดยาว 7 ถึง 8 นิ้ว กลับมาพร้อมกับนายนริศและนายสันติพงษ์ แล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวกได้พากันขับรถจักรยานยนต์ของผู้ตายกลับไปที่บ้านจำเลยที่ 2 และพากันนำรถของผู้ตายไปทิ้งที่คลองปากน้ำปากพูน พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 3 รออยู่ที่สามแยกโพธิ์เสด็จ เมื่อผู้ตายขับรถจักรยานยนต์มาถึงสามแยกดังกล่าวจำเลยที่ 3 ได้ขับรถจักรยานยนต์ชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย และวิ่งไล่ตามผู้ตายซึ่งหลบหนีไปทางซอยบ้านโพธิ์ จึงเป็นการสมคบกันวางแผนระหว่างจำเลยที่ 1 กับพวกโดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวกดักรอผู้ตาย การกระทำของจำเลยที่ 3 มีลักษณะเป็นการร่วมกันวางแผนทำร้ายผู้ตายตามที่ได้ตกลงกันไว้ การที่จำเลยที่ 3 นายนริศ และนายสันติพงษ์วิ่งไล่ผู้ตายไปในระยะกระชั้นชิด และมีเสียงร้องขอความช่วยเหลือจนเสียงเงียบไป ต่อมาจำเลยที่ 3 กับพวกกลับมาโดยจำเลยที่ 3 ถืออาวุธมีดสปาต้าในมือ และกางเกงของจำเลยที่ 3 เปียกน้ำถึงหัวเข่า ซึ่งสอดคล้องกับบาดแผลของผู้ตายที่ถูกอาวุธมีดขนาดใหญ่ฟันที่บริเวณลำคอ และจุดที่ผู้ตายถึงแก่ความตายอยู่ในป่าหญ้าที่มีน้ำท่วม เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 3 กับพวกร่วมกันใช้อาวุธมีดสปาต้าฟันผู้ตายถึงแก่ความตาย อย่างไรก็ดีทางนำสืบของโจทก์ไม่ได้ความว่า จำเลยที่ 3 กับพวกร่วมกันวางแผนจะฆ่าผู้ตายมาก่อน อีกทั้งขณะที่จำเลยที่ 3 กับพวกวิ่งไล่ผู้ตายไปนั้นก็ไม่ปรากฏว่าผู้ใดถืออาวุธ การที่จำเลยที่ 3 กับพวกฆ่าผู้ตายจนถึงแก่ความตายจึงเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นทันทีทันใดในช่วงเวลานั้น อันเป็นการกระทำของจำเลยที่ 3 กับพวกโดยลำพัง และขาดตอนจากการร่วมกันทำร้ายผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 กับพวกฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยที่ 3 คงมีความผิดฐานร่วมกับพวกฆ่าผู้อื่นเท่านั้น ฎีกาของจำเลยที่ 3 ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน และที่จำเลยที่ 3 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นซึ่งพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรกำหนดโทษของจำเลยที่ 3 ให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี ฎีกาของจำเลยที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 83 จำคุก 15 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share