คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10045/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลังจากโจทก์ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ จ. ลูกจ้างของโจทก์ยังคงปฏิบัติงานในตำแหน่งพนักงานขับรถและได้รับค่าจ้างอัตราเดิมต่อเนื่องตลอดมาโดยเป็นลูกจ้างของ อ. ซึ่งเคยเป็นกรรมการของโจทก์ กรณีเป็นการโอนสิทธิการเป็นนายจ้างจากโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลมาเป็น อ. ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาตาม ป.พ.พ. มาตรา 577 วรรคหนึ่ง ไม่ใช่โจทก์เลิกจ้าง จ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 50/2548
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 50/2548 ของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมนางจิตภรณ์ทัศน์ เป็นลูกจ้างในตำแหน่งพนักงานขับรถให้ครอบครัวของนายจอห์น ต่อมาได้เป็นพนักงานขับรถของโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดที่มีนายจอห์นเป็นกรรมการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2546 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 12,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 25 ของเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2548 โจทก์หยุดกิจการชั่วคราวเนื่องจากประสบภาวะขาดทุน ภายหลังจากนั้นนายจอห์นว่าจ้างให้นางจิตภรณ์ทัศน์เป็นพนักงานขับรถของครอบครัวต่อเนื่องตลอดมาจนถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2548 จำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานวินิจฉัยว่าโจทก์เลิกจ้างนางจิตภรณ์ทัศน์ลูกจ้างแล้ว จึงมีคำสั่งที่ 50/2548 ลงวันที่ 23 กันยายน 2548 ให้โจทก์นายจ้างจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 36,000 บาท และค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 12,000 บาท ให้แก่นางจิตภรณ์ทัศน์ลูกจ้าง แล้ววินิจฉัยว่า มาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มิได้ห้ามมิให้มีการเปลี่ยนแปลงตัวนายจ้างระหว่างนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดาตามที่จำเลยได้วินิจฉัยไว้ในคำสั่งเมื่อตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2548 ที่โจทก์หยุดกิจการชั่วคราวเนื่องจากประสบภาวะขาดทุนจนถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2548 นางจิตภรณ์ทัศน์ก็ได้รับค่าจ้างและทำงานในตำแหน่งเดิมอย่างต่อเนื่องโดยเป็นลูกจ้างของนายจอห์นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอันเป็นการจ้างงานส่วนตัว หาใช่มีการเลิกจ้างดังที่จำเลยได้วินิจฉัยไว้ในคำสั่งไม่ ดังนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2548 ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวนายจ้างของนางจิตภรณ์ทัศน์เนื่องด้วยการโอนจากโจทก์ไปเป็นนายจอห์นแล้วตามบทกฎหมายดังกล่าว โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะนายจ้างที่จะต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่นางจิตภรณ์ทัศน์ คำสั่งที่ 50/2548 ของจำเลยย่อมมิชอบด้วยกฎหมาย
คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าคำสั่งที่ 50/2548 ลงวันที่ 23 กันยายน 2548 ของจำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่า เมื่อโจทก์ปิดกิจการชั่วคราวจนไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ และโจทก์ไม่ได้จ่ายค่าจ้างให้ จึงถือว่าโจทก์เลิกจ้างนางจิตภรณ์ทัศน์ลูกจ้าง แม้ว่าต่อมานายจอห์นจะจ่ายเงินค่าจ้างให้นางจิตภรณ์ทัศน์ซึ่งเคยเป็นลูกจ้างโจทก์ก็ตาม กรณีหาเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวนายจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 13 ไม่ เห็นว่า แม้ว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 วรรคสอง จะได้บัญญัติไว้ว่าการเลิกจ้างให้หมายความรวมถึงกรณีที่ลูกจ้างไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุที่นายจ้างไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงยุติแล้วว่าภายหลังจากที่โจทก์หยุดกิจการชั่วคราวจนไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ นางจิตภรณ์ทัศน์ลูกจ้างโจทก์ก็ยังคงปฏิบัติงานในตำแหน่งเดิมคือพนักงานขับรถและได้รับค่าจ้างอัตราคงเดิม คือเดือนละ 12,000 บาท ต่อเนื่องตลอดมา โดยเป็นลูกจ้างของนายจอห์นซึ่งเคยเป็นกรรมการโจทก์ กรณีจึงเป็นการโอนสิทธิการเป็นนายจ้างจากโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลมาเป็นนายจอห์นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 577 วรรคหนึ่ง กรณีจึงหาใช่โจทก์เลิกจ้างลูกจ้าง คำสั่งของจำเลยที่วินิจฉัยว่า โจทก์เลิกจ้างลูกจ้างแล้วมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจึงไม่ถูกต้อง ที่ศาลแรงงานกลางให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวของจำเลยมานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share