แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157, 162 (1) (4) ที่โจทก์ฟ้องและศาลลงโทษจำเลยที่ 10 เป็นความผิดอาญาต่อแผ่นดิน อันมิใช่ความผิดต่อส่วนตัวที่ห้ามพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบตาม ป.วิ.อ. มาตรา 121 วรรคสอง เมื่อมีความผิดอาญาเกิดขึ้น หรืออ้าง หรือเชื่อว่าได้เกิดขึ้น และก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนหรือหน่วยงานของรัฐ ย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของเจ้าพนักงานตำรวจที่จะต้องสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพื่อเอาความผิดแก่ผู้กระทำความผิดอาญาทั้งปวงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 18, 19 ประกอบมาตรา 121 วรรคหนึ่ง ไม่ว่าจะมีผู้เสียหายร้องทุกข์หรือมีผู้กล่าวโทษผู้กระทำความผิดหรือไม่ ดังนั้น แม่ทัพภาค 2 จะมีอำนาจในการมอบอำนาจให้บุคคลใดไปทำการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย เมื่อมีการสอบสวนในความผิดที่ได้ฟ้องซึ่งเป็นคดีอาญาต่อแผ่นดินแล้ว โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานอัยการย่อมมีอำนาจฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 120
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งให้พิจารณาพิพากษารวมกัน  โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่า  โจทก์  และเรียกจำเลยทั้งสองสำนวนว่า  จำเลยที่  ๑  ถึงที่  ๑๑  ตามลำดับ
     โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสิบเอ็ดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๘๓,  ๑๕๗,  ๑๖๒  (๑)  (๔),  ๒๖๕,  ๒๖๘  และนับโทษจำเลยทั้งสิบเอ็ดทั้งสองสำนวนต่อกัน
     จำเลยทั้งสิบเอ็ดให้การปฏิเสธ
     ระหว่างพิจารณา  จำเลยที่  ๗  ถึงแก่ความตาย  ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่  ๗  ออกจากสารบบความ
     ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า  จำเลยที่  ๑  ที่  ๓  ที่  ๙  และที่  ๑๐  มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๑๕๗,  ๑๖๒  (๑)  (๔)  ประกอบมาตรา  ๘๓  เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท  ให้ลงโทษตามมาตรา  ๑๕๗  ประกอบมาตรา  ๘๓  ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๙๐  วางโทษจำคุกคนละ  ๒  ปี  รวม  ๒  กรรม  (ที่ถูก  รวม  ๒  กระทง)  เป็นจำคุกคนละ  ๔  ปี  จำเลยที่  ๕  มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๑๕๗,  ๑๖๒  (๑)  (๔),  ๒๖๘  วรรคแรก  (ที่ถูกประกอบ  มาตรา  ๒๖๕)  เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๙๑  ความผิดฐานเจ้าพนักงานปฎิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  ตามมาตรา  ๑๕๗  เป็นกรรมเดียวกับฐานเจ้าพนักงานทำเอกสารเท็จ  ตามมาตรา  ๑๖๒  (๑)  (๔)  ให้ลงโทษตาม  มาตรา  ๑๕๗  ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๙๐  วางโทษจำคุกจำเลยที่  ๕  รวม  ๒  กรรม  จำคุกกรรมละ  ๒  ปี  (ที่ถูก  รวม  ๒  กระทง  จำคุกกระทงละ  ๒  ปี)  และฐานใช้เอกสารราชการปลอม  ตามมาตรา  ๒๖๘  วรรคแรก  (ที่ถูก  ประกอบมาตรา  ๒๖๕)  รวม  ๒  กรรม  จำคุกกรรมละ  ๒  ปี  (ที่ถูก  รวม  ๒  กระทง  จำคุกกระทงละ  ๒  ปี)  รวมจำคุกจำเลยที่  ๕  มีกำหนด  ๘  ปี  ทางนำสืบของ
จำเลยที่  ๑  ที่  ๓  ที่  ๕  ที่  ๙  และที่  ๑๐  ในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง  มีเหตุบรรเทาโทษ  ลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๗๘  คงจำคุกจำเลยที่  ๑  ที่  ๓  ที่  ๙  และที่  ๑๐  คนละ  ๒  ปี  ๘  เดือน  จำคุกจำเลยที่  ๕  มีกำหนด  ๕  ปี   ๔  เดือน  ให้ยกฟ้องจำเลยที่  ๒  ที่  ๔  ที่  ๖  ที่  ๘  และที่  ๑๑  และยกฟ้องข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่  ๑  ที่  ๓  ที่  ๕  ที่  ๙  และที่  ๑๐
   	จำเลยที่  ๑  ที่  ๓  ที่  ๕  ที่  ๙  และที่  ๑๐  อุทธรณ์
   	ศาลอุทธรณ์ภาค  ๓  พิพากษาแก้เป็นว่า  ให้จำคุกจำเลยที่  ๑  ที่  ๓  ที่  ๙  และที่  ๑๐  กระทงละ  ๑  ปี  รวม  ๒  กระทง  จำคุกคนละ  ๒  ปี  ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๗๘  คงจำคุกคนละ  ๑  ปี  ๔  เดือน  ส่วนจำเลยที่  ๕  ให้จำคุกกระทงละ๑  ปี  รวม  ๔  กระทง  จำคุก  ๔  ปี  ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๗๘  คงจำคุก  ๒  ปี  ๘  เดือน  นอกจากที่แก้ให้เป็นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
   	จำเลยที่   ๑๐  ฎีกา
   	ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่  ๑๐  ในปัญหาข้อกฎหมายว่า  โจทก์มีอำนาจฟ้องในความผิดตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่  ๑๐  มาหรือไม่  จำเลยที่  ๑๐  ฎีกาว่า  ในคดีอาญาที่เป็นความผิดต่อแผ่นดินอันมิใช่ความผิดต่อส่วนตัว  การเริ่มคดีก็ต้องมีผู้กล่าวหาว่ามีการกระทำความผิดนั้น  ผู้กล่าวหาอาจเป็นผู้เสียหายโดยตรงหรือเจ้าพนักงานตำรวจ  หรือเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง  จะโดยการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  ๒  (๗)  หรือ  (๘)  ก็ได้  พนักงานสอบสวนจึงจะทำการสอบสวนต่อไปได้  คดีนี้มีแต่แม่ทัพภาคที่  ๒  มอบอำนาจให้บุคคลเข้าดำเนินการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษว่ามีการกระทำความผิดขึ้น
ซึ่งกระทรวงกลาโหมเพียงมอบอำนาจให้แม่ทัพภาคที่  ๒  มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจคัดเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ  ไม่ได้มอบให้มีอำนาจร้องทุกข์  แม่ทัพภาคที่  ๒  จึงไม่มีอำนาจมอบอำนาจให้บุคคลใดร้องทุกข์  การร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย  พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวน  และโจทก์ไม่มีอำนาจดำเนินคดี  เห็นว่า  ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๑๕๗,  ๑๖๒  (๑)  (๔)  ที่โจทก์ฟ้องและศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยที่  ๑๐  เป็นความผิดอาญาต่อแผ่นดิน อันมิใช่ความผิดต่อส่วนตัวที่ห้ามพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  ๑๒๑  วรรคสอง  เมื่อมีความผิดอาญาเกิดขึ้น  หรืออ้าง  หรือเชื่อว่าได้เกิดขึ้น  และก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนหรือหน่วยงานของรัฐ  ย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของเจ้าพนักงานตำรวจที่จะต้องสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพื่อเอาความผิดแก่ผู้กระทำความผิดอาญาทั้งปวง  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  ๑๘,  ๑๙  ประกอบมาตรา  ๑๒๑  วรรคหนึ่ง  ไม่ว่าจะมีผู้เสียหายร้องทุกข์หรือมีผู้กล่าวโทษผู้กระทำผิดหรือไม่  ดังนั้น  แม่ทัพภาคที่  ๒  จะมีอำนาจในการมอบอำนาจให้บุคคลใดไปทำการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนหรือไม่  จึงไม่จำต้องวินิจฉัย  เมื่อมีการสอบสวนในความผิดที่ได้ฟ้องซึ่งเป็นคดีอาญาต่อแผ่นดินแล้ว  โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานอัยการย่อมมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  ๑๒๐  ฎีกาของจำเลยที่  ๑๐  ฟังไม่ขึ้น
   	พิพากษายืน
