คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12453/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพราะเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องและพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษายกฟ้อง และสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์เป็นพับ และโจทก์อุทธรณ์ต่อมานั้น ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกเว้นมิให้โจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลในการดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่หรือในการที่จะยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาใหม่ของศาลล่างได้ตามที่เห็นสมควรตาม ป.วิ.พ. มาตรา 151 วรรคสาม (เดิม) ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่จะสั่งคืนให้หรือไม่ก็ได้ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่คืนค่าธรรมเนียมศาลให้นั้นชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 180,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 3 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 156,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 3 จะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 3 ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 12,000 บาท นับแต่เดือนสิงหาคม 2546 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 3 จะหยุดทำละเมิดหรือจนกว่าจะมีผู้จัดการอาคารชุดคนใหม่ที่ได้รับเลือกตั้งจากเจ้าของร่วมถูกต้องตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสามให้การในทำนองเดียวกันว่า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์เป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจจากนายชลิต การประชุมของจำเลยทั้งสามจะชอบหรือไม่ ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิระหว่างนายชลิตกับจำเลยทั้งสาม โจทก์ไม่อยู่ในฐานะถูกโต้แย้งสิทธิโดยตรงอันจะทำให้มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ค่าธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์และนายชลิตฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลแขวงพระนครเหนือ ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 990/2545 ข้อหาร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม มูลหนี้คดีนี้และคดีดังกล่าวมีมูลคดีเดียวกัน คดีดังกล่าวคู่ความตกลงระงับข้อพิพาทมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความจึงมีผลทำให้สิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับมูลหนี้ในคดีนี้ระงับสิ้นไป โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า นิติบุคคลอาคารชุด ดี.ซี. ทาวเวอร์ จดทะเบียนเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2538 มีนายชลิตเป็นผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด นายชลิตว่าจ้างและมอบอำนาจให้โจทก์ดำเนินการบริหารอาคารชุดดังกล่าวแทน ต่อมาจำเลยทั้งสามจัดประชุมเจ้าของร่วมนิติบุคคลอาคารชุด ดี.ซี. ทาวเวอร์ และจำเลยที่ 1 แจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าที่ประชุมเจ้าของร่วมนิติบุคคลอาคารชุด ดี.ซี. ทาวเวอร์ มีมติเปลี่ยนแปลงผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด ดี.ซี. ทาวเวอร์ จากนายชลิตเป็นจำเลยที่ 1 และภายหลังเปลี่ยนเป็นจำเลยที่ 3 ซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน
คดีมีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายหรือไม่เพียงใด เห็นว่า คดีฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายตามฟ้อง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสาม ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาขอคืนค่าธรรมเนียมศาล เพราะโจทก์ดำเนินคดีเพียง 2 ชั้นศาล แต่เสียค่าธรรมเนียมถึง 3 ครั้ง นั้น เห็นว่า แม้ถึงชั้นอุทธรณ์โจทก์จะเสียค่าธรรมเนียมศาลถึง 3 ครั้ง ซึ่งศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกเว้นมิให้โจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลในการดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่หรือในการที่จะยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาใหม่ของศาลล่างได้ตามที่เห็นสมควร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 151 วรรคสาม (เดิม) ก็ตามแต่ ก็เป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่จะสั่งคืนให้หรือไม่ก็ได้ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่คืนให้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share