คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 785/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายทั้งเก้ากับพวกซึ่งเป็นคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้อง ไม่มีข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานให้แก่พวกผู้เสียหายเพียงแต่อ้างการประกอบธุรกิจจัดหางานมาเป็นข้อหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินค่าบริการจากพวกผู้เสียหายมาสู่การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดหรือไม่ แม้ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ซึ่งศาลอุทธรณ์มีสิทธิยกขึ้นอ้างได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ก็ตาม แต่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบในศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้น ดังนี้ ข้อเท็จจริงตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ. 1782/2554 ของศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัย จึงไม่อาจนำมารับฟังได้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายทั้งเก้าซึ่งเป็นคนหางาน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 4, 30, 82 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานจำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ. 1728/2554 ของศาลชั้นต้น นางสาวเสาวลักษณ์ และว่าที่ร้อยตรี ปิยะชาติ ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ และว่าที่ร้อยตรีปิยะชาติ นางสาวเสาวลักษณ์ นางสาวเขมฐากร นายวัฒนา กับนางสาวอนงค์ภัค ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 90,000 บาท 845,000 บาท 110,000 บาท 65,000 บาท 110,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จตามลำดับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รอไว้สั่งเมื่อจับตัวจำเลยได้ ต่อมาเมื่อจับตัวจำเลยไม่ได้ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้มีคำพิพากษาคดีในส่วนอาญาไปก่อน แล้วจึงพิจารณาพิพากษาคดีในส่วนแพ่งภายหลัง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง, 82 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุก 4 ปี และปรับ 100,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี และปรับ 50,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ส่วนที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1728/2554 ของศาลชั้นต้น เนื่องจากจำเลยหลบหนี ไม่อาจสอบจำเลยเกี่ยวกับคำร้องดังกล่าว ทั้งคดีดังกล่าวศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษา และคดีนี้ศาลไม่ได้ลงโทษจำคุกจำเลย จึงให้ยกคำร้อง (ที่ถูก ไม่ต้องวินิจฉัยและสั่งยกคำร้องเพราะศาลชั้นต้นยังไม่ได้สั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้อง)
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์โดยนำข้อเท็จจริงในคำฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ. 1728/2554 ของศาลชั้นต้น มาวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานให้แก่คนหางาน จึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง, 82 ชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายทั้งเก้าซึ่งเป็นคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ โดยเรียกและรับเงินเป็นค่าบริการตอบแทนในการจัดหางานดังกล่าว โดยจำเลยกับพวกไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 82 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ จึงไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ต้องนำพยานมาสืบว่าจำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้อง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายทั้งเก้าซึ่งเป็นคนหางานไปทำงานในต่างประเทศโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เมื่อจำเลยมิได้ยกข้อเท็จจริงในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1728/2554 ของศาลชั้นต้น ขึ้นกล่าวอ้างว่าจำเลยกับพวกหลอกลวงผู้เสียหายว่าจำเลยกับพวกสามารถหางานและส่งคนหางานรวมทั้งผู้เสียหายทั้งเก้า ไปทำงานที่ประเทศออสเตรเลียได้ โดยจะได้รับค่าจ้าง อันเป็นความเท็จ ความจริงจำเลยกับพวกไม่สามารถหางานและจัดส่งผู้เสียหายทั้งสองไปทำงานที่ประเทศออสเตรเลียได้ จำเลยกับพวกไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง ไม่ได้เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง อันเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานให้แก่พวกผู้เสียหาย เพียงแต่อ้างการประกอบธุรกิจจัดหางานมาเป็นข้อหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินค่าบริการจากพวกผู้เสียหาย กรณีจึงไม่มีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดหรือไม่ แม้ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ซึ่งศาลอุทธรณ์มีสิทธิยกขึ้นอ้างได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ก็ตาม แต่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบในศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้น ดังนี้ ข้อเท็จจริงตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ. 1782/2554 ของศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัย จึงไม่อาจนำมารับฟังได้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายทั้งเก้าซึ่งเป็นคนหางาน และการกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง, 82 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น และเมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันจัดหางานให้คนหางานไปทำงานในประเทศโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้ร่วมกระทำความผิดฐานดังกล่าว จึงฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานร่วมกันจัดหางานให้คนหางานไปทำงานในต่างประเทศโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เมื่อศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ เพื่อมิให้คดีล่าช้า ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์โดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก มีปัญหาว่า มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า จำเลยกับพวกร่วมกันจัดหางานให้แก่คนหางานโดยเรียกและรับเงินจากคนหางานเป็นค่าตอบแทนและโดยจำเลยกับพวกไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งจำเลยกับพวกร่วมกระทำความผิดต่อผู้เสียหายจำนวนมากถึง 9 คน เป็นการสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนผู้ต้องการหางานทำเพื่อหาเงินมาใช้เลี้ยงชีพ นับเป็นภัยต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างยิ่ง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องที่ร้ายแรง จึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น แต่ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี ก่อนลดโทษนั้น หนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง, 82 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน

Share