คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19673/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจลงโทษผู้กระทำความผิดที่ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดนั้นเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้กระทำความผิดที่ถูกจับกุมให้ข้อมูลเครือข่ายผู้กระทำความผิดที่ตนเกี่ยวข้องรู้เห็นหรือติดต่ออยู่ เพื่อประโยชน์ในการปราบปรามผู้กระทำความผิดที่เหลืออยู่ในสังคมให้หมดสิ้น เพื่อความสงบสุขของสังคม ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ที่ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นหรือไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นอุทธรณ์ฎีกา แต่ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่นำสืบไว้แล้วในศาลชั้นต้น
คำเบิกความของดาบตำรวจ อ. ผู้จับกุมและคำให้การชั้นสอบสวนของสิบตำรวจโท ค. กล่าวอ้างขึ้นลอย ๆ ว่าจำเลยให้ข้อมูลแก่เจ้าพนักงานตำรวจจนสามารถจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดได้อีก 2 ราย ไม่มีรายละเอียดของบุคคล วันเวลา สถานที่ที่จับกุมรวมทั้งยาเสพติดให้โทษหรือพยานหลักฐานในการจับกุมที่จะแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยและผู้ถูกจับกุมให้ตรวจสอบได้ว่าจำเลยได้ให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของจำเลย และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ให้ข้อมูลใด ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษที่จำเลยเกี่ยวข้อง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ให้ข้อมูลผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษและมีการจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีอีก ๒ รายจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 92 ริบของกลาง และเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยาน จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม, 100/1, 102 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต และปรับ 1,000,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุก 25 ปี และปรับ 500,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ในการกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเป็นระยะเวลาไม่เกินสองปี ริบของกลาง คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบมาตรา 100/2 วางโทษจำคุก 30 ปี ปรับ 600,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 15 ปี ปรับ 300,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับไม่เกินหนึ่งปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ประการแรกมีว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นว่าจำเลยให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ โดยจำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า การที่พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจลงโทษผู้กระทำความผิดที่ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งดังกล่าวน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดนั้นเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้กระทำความผิดที่ถูกจับกุมให้ข้อมูลเครือข่ายผู้กระทำความผิดที่ตนเกี่ยวข้องรู้เห็นหรือติดต่ออยู่ เพื่อประโยชน์ในการปราบปรามผู้กระทำความผิดที่เหลืออยู่ในสังคมให้หมดสิ้น เพื่อความสงบสุขของสังคม ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ที่ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นหรือไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นอุทธรณ์ฎีกา แต่ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่นำสืบไว้แล้วในศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยให้ตามอุทธรณ์ของจำเลยนั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ที่ว่ามิใช่ปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่มีอำนาจวินิจฉัยเพราะมิใช่ข้อที่จำเลยว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นนั้นฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ประการต่อไปมีว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษหรือไม่ ปัญหานี้เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าจำเลยได้ให้ข้อมูลผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษและมีการจับกุมผู้กระทำความผิดดังกล่าว มาดำเนินคดีอีก 2 รายหรือไม่ ข้อนี้จำเลยอุทธรณ์อ้างคำเบิกความของดาบตำรวจโอภาส ผู้จับกุมที่เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลย และคำให้การชั้นสอบสวนของสิบตำรวจโทครรชิต ผู้ร่วมจับกุม เป็นพยานว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลดังกล่าวต่อเจ้าพนักงาน แต่ทั้งคำเบิกความของดาบตำรวจโอภาสและคำให้การชั้นสอบสวนของสิบตำรวจโทครรชิตต่างมีลักษณะเป็นพยานบอกเล่าไม่ได้รับทราบจากจำเลยด้วยตนเอง หรือมีส่วนร่วมจับกุมผู้กระทำความผิดตามที่จำเลยให้ข้อมูล คำเบิกความและคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวกล่าวอ้างขึ้นลอย ๆ ว่าจำเลยให้ข้อมูลแก่เจ้าพนักงานตำรวจจนสามารถจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดได้อีก 2 ราย ไม่มีรายละเอียดของบุคคล วันเวลาสถานที่ที่จับกุมรวมทั้งยาเสพติดให้โทษหรือพยานหลักฐานในการจับกุมที่จะแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยและผู้ถูกจับกุมให้ตรวจสอบได้ ตามบันทึกการจับกุม ก็ไม่ปรากฏข้อความหรือข้อมูลใด ๆ ที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้ให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของจำเลย ตามสำเนาคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่พนักงานสอบสวนส่งศาลประกอบการไต่สวนฝากขังครั้งที่ 1 ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ให้ข้อมูลใด ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษที่จำเลยเกี่ยวข้อง พยานหลักฐานในสำนวนยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ให้ข้อมูลผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษและมีการจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีอีก 2 รายจริง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์ว่าข้อมูลที่ดังกล่าวเป็นข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษหรือไม่ รวมทั้งไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ขอให้ลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำของกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดเพราะเหตุดังกล่าวอีกต่อไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share