คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 17738/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ใช้สิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลยโดยอาศัยสิทธิเรียกร้องที่เกิดจากบันทึกข้อตกลงในการรับบัตรเครดิต เนื่องจากผู้ถือบัตรเครดิตของโจทก์หรือบัตรเครดิตที่ร่วมกับบริษัทอื่นหรือสถาบันอื่นออกบัตรเครดิตภายใต้ข้อตกลงร่วมกับโจทก์ ได้ใช้บัตรเครดิตดังกล่าวชำระค่าสินค้าหรือบริการแก่จำเลยแทนการชำระเงิน และจำเลยได้นำบัตรเครดิตของลูกค้ารูดผ่านเครื่องบันทึกข้อมูลแล้วส่งข้อมูลการขายให้โจทก์เพื่อขอรับเงินค่าสินค้าหรือบริการดังกล่าวให้แก่จำเลยแล้ว แต่โจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากธนาคารผู้ออกบัตรเครดิตได้ เนื่องจากจำเลยไม่นำส่งใบบันทึกค่าสินค้าหรือบริการดังกล่าวให้แก่โจทก์ตามที่ตกลงกัน กรณีจึงไม่ใช่ผู้ประกอบธุรกิจในการดูแลกิจการของผู้อื่นหรือรับทำงานต่าง ๆ ฟ้องเรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7) เมื่อสิทธิเรียกร้องดังกล่าวกฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 31,702.89 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 11.50 บาท ต่อปี ในต้นเงิน 23,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้อง โจทก์ใช้สิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลยโดยอาศัยสิทธิเรียกร้องที่เกิดจากบันทึกข้อตกลงในการรับบัตรเครดิต เนื่องจากผู้ถือบัตรเครดิตของโจทก์หรือบัตรเครดิตที่ร่วมกับบริษัทอื่นหรือสถาบันอื่นออกบัตรเครดิตภายใต้ข้อตกลงร่วมกับโจทก์ได้ใช้บัตรเครดิตดังกล่าวชำระค่าสินค้าหรือบริการแก่จำเลยแทนการชำระเงินสด และจำเลยได้นำบัตรเครดิตของลูกค้ารูดบัตรผ่านเครื่องบันทึกข้อมูลแล้วส่งข้อมูลการขายให้โจทก์เพื่อขอรับเงินค่าสินค้าหรือบริการจากโจทก์ โดยโจทก์ได้โอนเงินค่าสินค้าหรือบริการดังกล่าวให้แก่จำเลยแล้ว แต่โจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากธนาคารผู้ออกบัตรเครดิตได้ เนื่องจากจำเลยไม่นำส่งใบบันทึกค่าสินค้าหรือบริการดังกล่าวให้แก่โจทก์ตามที่ตกลงกัน กรณีจึงมิใช่ผู้ประกอบธุรกิจในการดูแลกิจการของผู้อื่นหรือรับทำงานต่าง ๆ ฟ้องเรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7) เมื่อสิทธิเรียกร้องดังกล่าวกฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนดอายุความ10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์นำเงินเข้าบัญชีของจำเลยเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2548 และนำยอดเงินตามหลักฐานการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดที่โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้มาหักจากบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ของจำเลยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2550 เมื่อหักทอนบัญชีกันปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวน 24,423.86 บาท ต่อมาโจทก์มีหนังสือทวงถามจากจำเลย โดยกำหนดให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวของโจทก์เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2553 อายุความตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงเริ่มนับแต่วันที่ 12 มกราคม 2553 เป็นต้นไปโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2553 ยังไม่พ้นกำหนดสิบปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนปัญหาว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใดนั้น ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัย ซึ่งผลแห่งการวินิจฉัยของศาลชั้นต้นอาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิอุทธรณ์ฎีกาของคู่ความได้ เพราะคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงเห็นควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาในประเด็นดังกล่าวที่ยังไม่ได้วินิจฉัยใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 ประกอบมาตรา 243 (1)
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาวินิจฉัยในประเด็นว่าจำเลยจะต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใด แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นพิจารณารวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share