คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11292/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 190 เม็ด แต่พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่ามีการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย แต่เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน 190 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 2.19 กรัม จำเลยจึงมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง ซึ่งปริมาณของยาเสพติดดังกล่าวกฎหมายสันนิษฐานไว้เด็ดขาดว่ามีไว้เพื่อจำหน่าย แม้โจทก์จะไม่ได้ฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานนี้ แต่การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนด้วยตนเองตามลำพัง แสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่าจำเลยจะต้องมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายก่อนที่จะนำไปจำหน่าย ศาลจึงลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15, 66, 102 ริบของกลาง ยกเว้นเงิน 21,000 บาท ของกลางให้คืนแก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคสอง 100/1, 102 จำคุก 8 ปี และปรับ 800,000 บาท คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่คงจำคุก 6 ปี และปรับ 600,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ในการกักขังแทนค่าปรับ ให้กักขังเป็นระยะเวลาไม่เกินสองปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ส่วนเงิน 21,000 บาท รถจักรยานยนต์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง ให้คืนแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 7 ปี และปรับ 400,000 บาท เมื่อลดโทษให้หนึ่งในสี่แล้วคงจำคุก 5 ปี 3 เดือน และปรับ 300,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ร้อยตำรวจเอกอัฐภณ สิบตำรวจโทวิมลกับพวก เจ้าพนักงานตำรวจหน่วยสืบสวนปราบปรามยาเสพติดเมืองพัทยาจับจำเลยนำส่งพันตำรวจโทขวัญชัย พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอบางละมุง พร้อมเมทแอมเฟตามีน 190 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 2.19 กรัม ธนบัตรฉบับ 1,000 บาท 21 ฉบับ โทรศัพท์เคลื่อนที่ รถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ชลบุรี 8ก – 5642 ของจำเลย และบันทึกการจับกุมระบุว่าจำเลยให้การรับสารภาพฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 พร้อมลายมือจำเลยที่เขียนรับสารภาพ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ
มีข้อวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาหรือไม่ เห็นว่า ตามรายงานประจำวันธุรการ พันตำรวจโทคนสันต์เป็นผู้นำเงินล่อซื้อไปลงบันทึกไว้เดิมเขียนเวลา 22 นาฬิกา แต่ภายหลังขีดฆ่าแล้วเขียนใหม่เป็น 20 นาฬิกา นับเป็นข้อพิรุธ ซึ่งปกติจะลงเวลาจริง ดังนั้น น่าเชื่อว่ามีการบันทึกวันเวลา 22 นาฬิกา จึงเป็นภายหลังจับจำเลยได้แล้ว อีกทั้งจำเลยมิได้ลงลายมือชื่อในภาพถ่ายธนบัตรที่โจทก์อ้างว่าใช้ล่อซื้อ ทั้ง ๆ ที่จำเลยลงลายมือชื่อในเอกสารทุกฉบับ แม้แต่การเขียนบันทึกสารภาพด้วยตนเอง ประกอบกับร้อยตำรวจเอกอัฐภณเบิกความว่า สายลับไม่เคยล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนมาก่อน แล้วสายลับรู้ได้อย่างไรว่าจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำเลยเป็นหญิงอายุ 29 ปี นับว่ายังสาวไม่น่าจะกล้าลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนในเวลาดึกและค่อนข้างเปลี่ยว หากจะกระทำผิดน่าจะกระทำที่บ้านพักหรือบริเวณใกล้เคียง จึงฟังไม่ได้ว่ามีการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย แต่จากคำเบิกความของพยานโจทก์ฟังได้ว่า พยานโจทก์ร่วมกันจับจำเลยได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน 190 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 2.19 กรัม จำเลยจึงมีความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครอง ซึ่งปริมาณของยาเสพติดดังกล่าวกฎหมายสันนิษฐานไว้เด็ดขาดว่ามีไว้เพื่อจำหน่าย แม้โจทก์จะมิได้ฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานนี้ แต่การที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนด้วยตนเองตามลำพัง แสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่าจำเลยจะต้องมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายก่อนที่จะนำไปจำหน่าย ดังนั้น ศาลจึงลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนบทกฎหมายและโทษให้บังคับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share