แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
นับตั้งแต่โจทก์อนุมัติและติดตั้งเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าพร้อมทั้งจ่ายกระแสไฟฟ้าให้จำเลยตั้งแต่ปี 2518 จำเลยยังไม่เคยแจ้งบอกเลิกหรือโอนการใช้ไฟฟ้าแก่ผู้อื่นให้โจทก์ทราบเป็นลายลักษณ์อักษร จำเลยย่อมต้องรับผิดชอบในการชำระค่าไฟฟ้าที่ใช้ไปในบ้านหลังดังกล่าวตลอดไป แม้จำเลยได้ขายบ้านพร้อมที่ดินที่ติดตั้งเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าไปตั้งแต่ปี 2537 ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยไม่ได้บอกเลิกการใช้ไฟฟ้า หากจะมีผู้อื่นครอบครองสถานที่ใช้ไฟฟ้ายังถือว่า จำเลยและผู้ครอบครองเป็นผู้รับผิดชอบร่วมกันในการชำระค่าไฟฟ้า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 127,126.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 127,126.25 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 127,126.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 30 เมษายน 2547) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,200 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ.2501 มีผู้ว่าการกระทำการแทนโจทก์ตามคำสั่งแต่งตั้ง โจทก์มอบอำนาจให้นายนริษฎ์ เป็นผู้มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีแทนตามหนังสือมอบอำนาจ จำเลยยื่นแบบคำขอใช้ไฟฟ้าเพื่อให้โจทก์ติดตั้งเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าเลขที่ ษ – 10111 และจำเลยได้ใช้ไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2518 เป็นต้นมา ครั้นวันที่ 5 กรกฎาคม 2537 จำเลยขายบ้านหลังดังกล่าวพร้อมที่ดินให้แก่นายการุณย์
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงินค่าไฟฟ้าให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า นับตั้งแต่โจทก์อนุมัติและติดตั้งเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าพร้อมทั้งจ่ายกระแสไฟฟ้าให้จำเลยตั้งแต่ปี 2518 จำเลยยังไม่เคยแจ้งบอกเลิกหรือโอนการใช้ไฟฟ้าแก่ผู้อื่นให้โจทก์ทราบเป็นลายลักษณ์อักษร ดังนั้น จำเลยย่อมต้องรับผิดชอบในการชำระค่าไฟฟ้าที่ใช้ไปในบ้านหลังดังกล่าวตลอดไป ตามความในข้อบังคับการไฟฟ้านครหลวง ว่าด้วยการใช้ไฟฟ้าและบริการ พ.ศ.2535 ข้อ 36 แม้จำเลยจะนำสืบกล่าวแก้ว่า จำเลยได้ขายบ้านพร้อมที่ดินที่ติดตั้งเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าให้แก่นายการุณย์เข้าครอบครองไปตั้งแต่ปี 2537 แล้วก็ตาม แต่เมื่อจำเลยไม่ได้บอกเลิกการใช้ไฟฟ้า หากจะมีผู้อื่นครอบครองสถานที่ใช้ไฟฟ้าก็ยังถือว่า จำเลยและผู้ครอบครองเป็นผู้รับผิดชอบร่วมกันในการชำระค่าไฟฟ้า ตามข้อบังคับดังกล่าว ข้อ 36 วรรคสอง ที่จำเลยนำสืบต่อไปว่า จำเลยไปติดต่อการไฟฟ้านครหลวงเพื่อโอนการใช้ไฟฟ้าแก่นายการุณย์แล้ว แต่การไฟฟ้านครหลวงไม่มีหลักฐานการโอนให้นั้น เห็นว่า เป็นเรื่องขัดต่อเหตุผล เพราะตามข้อบังคับดังกล่าว ข้อ 53 กำหนดให้ผู้ขอรับโอนยื่นคำขอตามแบบที่การไฟฟ้านครหลวงกำหนดโดยให้ผู้ใช้ไฟฟ้าลงนามในฐานะผู้โอน ดังนั้นหากจำเลยและนายการุณย์ไปติดต่อขอโอนการใช้ไฟฟ้าจริง ไม่เชื่อว่าการไฟฟ้านครหลวงจะรับคำขอโดยไม่มีหลักฐานให้ อีกทั้งการ์ดประวัติผู้ใช้ไฟฟ้าก็ระบุชื่อจำเลยในฐานะผู้ใช้ไฟฟ้ามาตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลง ที่จำเลยอ้างว่า หลังจากจำเลยได้รับใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้าแล้ว จำเลยไปติดต่อนายนริษฎ์ เพื่อเล่าเรื่องให้ฟังนั้น ปรากฏว่านายนริษฎ์เป็นผู้รับมอบอำนาจโจทก์และทนายโจทก์ในคดีนี้ อีกทั้งนายนริษฎ์ยังเบิกความเป็นพยานโจทก์ไว้ด้วย แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ถามค้านนายนริษฎ์ให้ชี้แจงในเรื่องนี้ พยานหลักฐานจำเลยจึงมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยต้องรับผิดชำระค่าไฟฟ้าแก่โจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ