คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6403/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 แล้ว แต่เมื่อถึงวันนัดจำเลยที่ 2 ไม่มาศาล แม้หลังจากนั้นศาลชั้นต้นจะเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 และนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ใหม่ในวันที่ 25 มกราคม 2554 ก็ตาม แต่พฤติการณ์ของจำเลยที่ไม่มาศาลในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 ถือได้ว่ามีเหตุสงสัยว่าจำเลยที่ 2 หลบหนีหรือจงใจไม่มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 แล้ว ศาลชั้นต้นชอบที่จะออกหมายจับจำเลยที่ 2 มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 182 วรรคสาม โดยไม่จำต้องออกหมายนัดแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 มกราคม 2554 ให้จำเลยที่ 2 ทราบอีก ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ลับหลังจำเลยที่ 2 ชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสอง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 70, 124, 125, 144 วรรคแรก, 151 วรรคสองประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยทั้งสอง อุทธรณ์ วันที่ 29 กันยายน 2553 เวลา 9 นาฬิกา ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 จำเลยที่ 2 และผู้ประกันไม่มาศาล ทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 อ้างว่าจำเลยที่ 2 จะหาเงินมาวางศาลเพื่อชดใช้ให้แก่ผู้เสียหายทั้งสิบสาม และจำเลยที่ 2 ต้องคอยดูแลบ่อทรายที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งประสบภาวะน้ำท่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีไม่ถือว่ามีเหตุจำเป็นไม่ถึงกับมาศาลไม่ได้ ถือว่าจำเลยที่ 2 มีพฤติการณ์หลบหนี ให้ยกคำร้อง ออกหมายจับจำเลยที่ 2 และปรับผู้ประกันตามสัญญาประกัน และเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไปวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 เวลา 9 นาฬิกา วันที่ 15 ตุลาคม 2553 จำเลยที่ 2 เข้ามอบตัว ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2 ระหว่างอุทธรณ์ โดยกำหนดให้ส่งตัวจำเลยที่ 2 ในวันฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 จำเลยที่ 2 ทราบวันนัดดังกล่าวแล้ว วันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 จำเลยที่ 2 ไม่มาศาลตามกำหนดนัด ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยที่ 2 โดยถือว่าอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยที่ 2 ฟังแล้ว และให้เพิกถอนหมายจับเดิมกับออกหมายจับใหม่เพื่อให้ได้ตัวจำเลยที่ 2 มาบังคับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต่อมาวันที่ 14 ธันวาคม 2553 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณา ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยที่ 2 ฟังและเพิกถอนหมายจับ กับให้ออกหมายจับจำเลยที่ 2 เพื่อมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในวันที่ 25 มกราคม 2554 เวลา 9 นาฬิกา วันที่ 23 ธันวาคม 2553 ทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เนื่องจากศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่อ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 โดยนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ใหม่ ในวันที่ 25 มกราคม 2554 จึงให้ยกคำร้อง เมื่อถึงวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 จำเลยที่ 2 ไม่มาศาลและออกหมายจับจำเลยที่ 2 เกินกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ศาลชั้นต้นจึงงดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยถือว่าจำเลยที่ 2 ได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 แล้ว และออกหมายจับจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3วันที่ 31 มกราคม 2554 ทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 ไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในวันที่ 25 มกราคม 2554 เวลา 9 นาฬิกา เพราะศาลชั้นต้นไม่ได้ออกหมายนัดให้จำเลยที่ 2 ทราบ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายจับจำเลยที่ 2 และปรับผู้ประกันเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้อง ขอยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นเพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เนื่องจากจำเลยที่ 2 ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่มาศาลตามนัด ถือว่ามีพฤติการณ์หลบหนีและผู้ประกันผิดสัญญาประกัน ซึ่งศาลจะต้องออกหมายจับจำเลยที่ 2 เพื่อมาฟังคำพิพากษาใหม่ แต่ศาลออกหมายจับเพื่อบังคับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นการผิดขั้นตอน จึงได้ออกหมายจับใหม่เพื่อมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นการแก้ไขให้ถูกต้องตามขั้นตอน เมื่อจำเลยที่ 2 หลบหนีมาตั้งแต่ต้น การที่ศาลออกหมายจับจึงชอบแล้ว หาจำต้องหมายแจ้งคำสั่งแต่อย่างใด และผู้ประกันก็ผิดสัญญาประกันตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 แล้ว ให้ยกคำร้อง (ที่ถูก ต้องสั่งว่า รวม)
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ขอให้เพิกถอนหมายจับจำเลยที่ 2 และคำสั่งปรับผู้ประกัน กับมีหมายแจ้งให้จำเลยที่ 2 มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ใหม่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2553 เวลา 9 นาฬิกา โดยจำเลยที่ 2 ทราบนัดโดยชอบแล้ว แต่ไม่มาศาลตามกำหนดนัด ศาลชั้นต้นจึงออกหมายจับจำเลยที่ 2 และนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ใหม่ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 เวลา 9 นาฬิกา ระหว่างนั้นจำเลยที่ 2 เข้ามอบตัวและศาลชั้นต้นอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 เวลา 9 นาฬิกา แล้ว แต่เมื่อถึงวันนัดจำเลยที่ 2 ไม่มาศาลอีก แม้หลังจากนั้นศาลชั้นต้นจะเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 และนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ใหม่ในวันที่ 25 มกราคม 2554 เวลา 9 นาฬิกา ก็ตาม แต่พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ไม่มาศาลในวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 วันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 ถือได้ว่ามีเหตุสงสัยว่าจำเลยที่ 2 หลบหนีหรือจงใจไม่มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 แล้ว ศาลชั้นต้นชอบที่จะออกหมายจับจำเลยที่ 2 มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 182 วรรคสาม โดยไม่จำต้องออกหมายนัดแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 มกราคม 2554 ให้จำเลยที่ 2 ทราบอีก เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ลับหลังจำเลยที่ 2 หลังจากออกหมายจับจำเลยที่ 2 เกินกว่า 1 เดือน นับแต่วันออกหมายจับแล้ว การอ่าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ของศาลชั้นต้น จึงชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ไม่มีเหตุที่จะอ่าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยที่ 2 ฟังใหม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share