แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม บัญญัติว่า จำเลยจะฟ้องแย้งมาในคำให้การก็ได้ อันเป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่ให้สิทธิแก่จำเลยที่จะฟ้องกลับโจทก์ได้ในคดีเดียวกัน กรณีดังกล่าวจึงต้องมีส่วนคำให้การแก้ข้อกล่าวหาของจำเลยเป็นเบื้องต้น กับส่วนที่จำเลยฟ้องแย้งโจทก์ ซึ่งเมื่อจำเลยขอถอนฟ้องแย้งโดยมิได้ขอถอนคำให้การด้วย ก็มีผลลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องแย้งเท่านั้น มิได้ทำให้คำให้การของจำเลยสิ้นไปด้วยแต่อย่างใด
โจทก์อ้างว่า จำเลยสั่งซื้อและรับสินค้าไปจากโจทก์รวม 16 ครั้ง ตามตารางคำนวณยอดหนี้เอกสารท้ายฟ้อง จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าไม่ได้ซื้อสินค้าจากโจทก์ ทั้งยังให้การด้วยว่าโจทก์ส่งสินค้าให้แก่จำเลยเป็นเงิน 148,780.98 ดอลลาร์สหรัฐ กรณีจึงถือว่า จำเลยยอมรับข้ออ้างดังกล่าวของโจทก์ และคดีไม่มีประเด็นพิพาทในเรื่องนี้ที่โจทก์จะต้องนำสืบแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงตามข้ออ้างของโจทก์ส่วนนี้รับฟังได้ตามฟ้อง โดยที่ไม่จำต้องนำใบแจ้งหนี้มารับฟังเป็นพยานหลักฐาน
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยมิได้มีคำขอบังคับให้ชำระเป็นเงินไทยด้วย การที่โจทก์บรรยายฟ้องเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยในวันฟ้องก็เพื่อประโยชน์ในการคิดค่าขึ้นศาลเท่านั้น ในกรณีเช่นนี้ย่อมเป็นสิทธิของจำเลยที่จะชำระหนี้เป็นเงินไทยโดยคิดอัตราแลกเปลี่ยน ณ สถานที่ใช้เงินและเวลาที่ใช้เงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 196 ดังนั้น การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางกำหนดให้คิดเป็นเงินไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในวันครบกำหนดชำระเงินแต่ละจำนวน จึงเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้มีคำขอและเป็นกรณีพิพากษาเกินคำขอ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 183,124.58 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงิน 171,671.98 ดอลลาร์สหรัฐ นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องแย้ง และฟ้องแย้งขอให้โจทก์ใช้เงิน 121,148,540.53 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 116,863,877 บาท นับจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การปฏิเสธ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างการพิจารณา จำเลยขอถอนฟ้องแย้ง ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะในส่วนฟ้องแย้ง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 148,780.98 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน หรือ 12 ต่อปี ของต้นเงิน 169 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2549 ต้นเงิน 481 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2549 ต้นเงิน 11,280 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2549 ต้นเงิน 720 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2549 ต้นเงิน 9,600 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2549 ต้นเงิน 24,000 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2549 ต้นเงิน 171.36 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2549 ต้นเงิน 85.68 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2549 ต้นเงิน 11,280 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2549 ต้นเงิน 24,000 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2549 ต้นเงิน 7,200 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2549 ต้นเงิน 16,800 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2549 ต้นเงิน 24,000 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2549 ต้นเงิน 9,600 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2549 ต้นเงิน 7,956.92 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 24 มกราคม 2550 และต้นเงิน 1,437.02 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องห้ามมิให้เกิน 11,452 ดอลลาร์สหรัฐ โดยให้คิดเป็นเงินไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพมหานครในวันครบกำหนดชำระเงินแต่ละจำนวนดังกล่าว ถ้าไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันนั้นก็ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเช่นว่านั้นก่อนวันครบกำหนดชำระเงิน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนด ค่าทนายความ 50,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า จำเลยสั่งซื้อและได้รับสินค้าตามฟ้อง 16 ครั้ง จากโจทก์ตามใบแจ้งหนี้หรือไม่ เห็นว่า ตามคำให้การของจำเลย จำเลยไม่ได้ปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่าไม่ได้สั่งซื้อและไม่ได้รับสินค้าทั้ง 16 ครั้ง ตามฟ้องจากโจทก์ คงโต้แย้งเพียงว่า สินค้าของโจทก์ไม่มีคุณภาพและโจทก์ปรับราคาสินค้าขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมเท่านั้น ที่จำเลยอุทธรณ์ทำนองว่า จำเลยได้ขอถอนฟ้องแย้งและศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งอนุญาตแล้ว จึงต้องถือว่าการถอนฟ้องแย้งดังกล่าวลบล้างผลแห่งการยื่นฟ้องแย้งนั้นเสมือนหนึ่งจำเลยมิได้มีการยื่นฟ้องแย้งและให้การเช่นนั้นไว้เลย ดังนั้น เมื่อโจทก์ยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอ้าง โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบ แต่โจทก์ไม่สามารถนำหลักฐานมาสืบพิสูจน์ยืนยัน คงมีเพียงสำเนาใบแจ้งหนี้ ซึ่งต้องห้ามมิให้รับฟังมาแสดงเท่านั้น ข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยสั่งซื้อและได้รับสินค้าตามฟ้องจากโจทก์ ส่วนนี้เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม บัญญัติว่า จำเลยจะฟ้องแย้งมาในคำให้การก็ได้ อันเป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่ให้สิทธิแก่จำเลยที่จะฟ้องกลับโจทก์ได้ในคดีเดียวกัน กรณีดังกล่าวจึงต้องมีส่วนคำให้การแก้ข้อกล่าวหาของจำเลยเป็นเบื้องต้น กับส่วนที่จำเลยฟ้องแย้งโจทก์ ซึ่งเมื่อจำเลยขอถอนฟ้องแย้งโดยมิได้ขอถอนคำให้การด้วยก็มีผลเพียงลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องแย้งเท่านั้น มิได้ทำให้คำให้การของจำเลยสิ้นไปด้วยแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อตามฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยสั่งซื้อและรับสินค้าไปจากโจทก์รวม 16 ครั้ง จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าไม่ได้ซื้อสินค้าจากโจทก์ ทั้งยังให้การด้วยว่า โจทก์ส่งสินค้าให้แก่จำเลยเป็นเงิน 148,780.98 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นจำนวนเงินเท่ากับผลรวมของราคาค่าสินค้าทั้ง 16 ครั้ง ที่โจทก์ฟ้อง ตามตารางคำนวณยอดหนี้ กรณีจึงถือว่า จำเลยยอมรับข้ออ้างดังกล่าวของโจทก์และคดีไม่มีประเด็นพิพาทในเรื่องนี้ที่โจทก์จะต้องนำสืบแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงตามข้ออ้างของโจทก์ส่วนนี้รับฟังได้ตามฟ้อง โดยที่ไม่จำต้องนำใบแจ้งหนี้มารับฟังเป็นพยานหลักฐานกรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยเรื่องที่จำเลยอุทธรณ์ห้ามมิให้รับฟังสำเนาใบแจ้งหนี้ดังกล่าวอีกต่อไป อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยมิได้มีคำขอบังคับให้ชำระเป็นเงินไทยด้วย การที่โจทก์บรรยายฟ้องเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยในวันฟ้องก็เพื่อประโยชน์ในการคิดค่าขึ้นศาลเท่านั้น ในกรณีเช่นนี้จึงย่อมเป็นสิทธิของจำเลยที่จะชำระหนี้เป็นเงินไทยโดยคิดอัตราแลกเปลี่ยน ณ สถานที่ใช้เงินและเวลาที่ใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 196 หากเกิดปัญหาขึ้นก็เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดี การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางกำหนดให้คิดเป็นเงินไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในวันครบกำหนดชำระเงินแต่ละจำนวนไว้ จึงเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้มีคำขอและเป็นกรณีที่ไม่จำต้องกำหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าวและกำหนดเวลาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราไว้ในคำพิพากษาเพราะเกินคำขอ
พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยจะชำระเป็นเงินไทย การเปลี่ยนเงินให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ณ สถานที่และในเวลาที่ใช้เงิน แต่ทั้งนี้คำนวณแล้วต้องไม่เกินอัตราแลกเปลี่ยนที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางกำหนด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นนี้แทนโจทก์ 10,000 บาท