คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4058/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 33 ปี 4 เดือน ริบรถยนต์ของกลาง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เฉพาะของกลางเป็นไม่ริบ จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามโจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคสอง โจทก์ฎีกาขอให้ริบของกลางเป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์ รถยนต์เก๋ง 1 คันและโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 เครื่อง ของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 33 ปี 4 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์ รถยนต์ 1 คันและโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 เครื่อง ของกลางคำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน แต่ไม่ริบรถยนต์หมายเลขทะเบียน 5 ว – 8053 กรุงเทพมหานคร ของกลางโดยให้คืนแก่เจ้าของ
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ เห็นว่า ก่อนจับกุมเจ้าพนักงานตำรวจสืบทราบว่ามีผู้นำเมทแอมเฟตามีนมาจำหน่าย จึงวางแผนให้สายลับติดต่อซื้อเมทแอมเฟตามีนโดยนัดให้มาส่งที่ปั๊มน้ำมันเจ็ทตำบลคลองหนึ่ง ใกล้กับตลาดไท และจับกุมจำเลยทั้งสองได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลาง ชั้นจับกุมจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ พยานโจทก์มีร้อยตำรวจเอกอนันต์และจ่าสิบตำรวจกู้เกียรติเป็นประจักษ์พยานยืนยันการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสอง และได้เมทแอมเฟตามีนเป็นของกลางโดยพบในรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ใช้เป็นยานพาหนะ พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวฟังได้เป็นมั่นคงว่าจำเลยทั้งสองมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แม้โจทก์จะไม่ได้นำสายลับมาเป็นพยานก็หาทำให้พยานหลักฐานของโจทก์น้ำหนักลดน้อยลงไม่ ส่วนคำรับของจำเลยที่ 1 ตามบันทึกการจับกุมและคำให้การ (ศาลจังหวัดลพบุรี) เห็นว่า ก่อนทำการสอบสวนพนักงานสอบสวนได้แจ้งสิทธิให้จำเลยที่ 1 ทราบแล้ว โดยจำเลยที่ 1 ให้การเกี่ยวกับประวัติส่วนตัว การประกอบอาชีพ ทรัพย์สิน พฤติการณ์เกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ซึ่งมีรายละเอียดมากมาย ยากที่พนักงานสอบสวนจะปั้นแต่งขึ้นเองได้ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ให้ข้อเท็จจริง และทำขึ้นในวันเกิดเหตุนั้นเอง เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ให้การต่อพนักงานสอบสวนด้วยความสมัครใจ ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าเจ้าพนักงานตำรวจหลอกลวงและให้สัญญาว่าจะปล่อยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรชายไปนั้น คนทั่วไปทราบดีว่าการกระทำความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษเป็นความผิดร้ายแรง โดยเฉพาะของกลางที่มีจำนวนมากจะได้รับโทษสูงถึงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ไม่มีเจ้าพนักงานตำรวจผู้ใดกล้าที่จะปล่อยผู้กระทำความผิดหรือให้ประกัน ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ริบรถยนต์ของกลางนั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 33 ปี 4 เดือน ริบรถยนต์ของกลาง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เฉพาะของกลางเป็นไม่ริบ จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามโจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคสอง โจทก์ฎีกาขอให้ริบของกลางเป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน

Share