คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12600/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาเพื่อจะส่งมอบให้แก่สายลับ แต่ยังไม่ทันได้ส่งมอบก็ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเสียก่อน ถือได้ว่าจำเลยลงมือกระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากถูกจับกุมเสียก่อน การกระทำของจำเลยนอกจากจะเป็นความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว ยังเป็นความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนด้วย ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 91 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแต่ให้การปฏิเสธข้อหาพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง, 102 จำคุก 8 ปี และปรับ 400,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 4 ปี และปรับ 200,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้กักขังแทนค่าปรับเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 6 ปี และปรับ 300,000 บาท คำรับของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี และปรับ 200,000 บาท เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วเป็นจำคุก 8 ปี และปรับ 400,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีพันตำรวจโทอภิชัย และดาบตำรวจกฤชวัฏ เบิกความในทำนองเดียวกันได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุพันตำรวจโทอภิชัยให้สายลับโทรศัพท์สั่งซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย ต่อมาถึงเวลานัดหมายพยานทั้งสองกับพวกเดินทางไปยังจุดนัดหมาย สายลับชี้ให้ทราบว่ารถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า สีน้ำเงินซึ่งจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นรถของจำเลยเมื่อพยานทั้งสองเข้าไปจับกุมและขอตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลาง และยังพบหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ของสายลับที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลย ซึ่งพยานโจทก์ทั้งสองไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เชื่อว่า พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความไปตามจริง การที่จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาเพื่อจะส่งมอบให้แก่สายลับแต่ยังไม่ทันได้ส่งมอบก็ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเสียก่อน ถือได้ว่าจำเลยลงมือกระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากถูกจับกุมเสียก่อน แม้คดีนี้จะไม่มีการใช้ธนบัตรล่อซื้อและมิได้นำสายลับมาเบิกความยืนยัน แต่พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาก็รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า การกระทำของจำเลยนอกจากจะเป็นความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้วยังเป็นความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนด้วย แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงจำนวนเมทแอมเฟตามีนของกลางที่ค้นพบที่ตัวจำเลยมีจำนวน 201 เม็ด ซึ่งแตกต่างจากจำนวนที่พันตำรวจโทอภิชัยให้สายลับโทรศัพท์สั่งซื้อจากจำเลยจำนวน 200 เม็ดเพียง 1 เม็ด ถือเป็นจำนวนที่น้อยมาก ประกอบกับลักษณะการบรรจุในขณะที่ค้นพบนั้นเมทแอมเฟตามีนทั้ง 201 เม็ด ถูกบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใบเดียวกัน และถูกพันด้วยเทปกาวสีดำใส่ไว้ในซองบุหรี่ นอกจากนี้ยังได้ความจากพันตำรวจโทอภิชัยและดาบตำรวจกฤชวัฏ เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ตามประสบการณ์การส่งมอบเมทแอมเฟตามีนจะซื้อขายกันเป็นถุง ส่วนใหญ่เป็นถุงสีฟ้าและถุงละประมาณ 200 เม็ดอาจจะมีขาดบ้างเกินบ้างบางถุง ทั้งเมทแอมเฟตามีนเป็นของผิดกฎหมาย จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาแกะบรรจุภัณฑ์ที่มีลักษณะแน่นหนาเพื่อนับและแยกเมทแอมเฟตามีนจำนวน 200 เม็ด ส่งมอบให้แก่สายลับที่บริเวณข้างถนนราชพฤกษ์ที่เกิดเหตุ แต่มีเหตุผลให้เชื่อว่าจำเลยมีเจตนาจะนำเมทแอมเฟตามีนของกลางดังกล่าวมาส่งมอบให้แก่สายลับ ข้อเท็จจริงจึงฟังว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายให้แก่สายลับนั้นเป็นจำนวนเดียวกันซึ่งไม่ตรงกับคำฟ้องของโจทก์ ดังนั้น ไม่ว่าโจทก์จะฟ้องว่าจำเลยพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 200 เม็ด ก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นความผิดคนละกรรมกัน จึงไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 และ 225 และสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า คดีนี้มิได้มีการสอบสวนในความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนฟ้องโจทก์ในความผิดฐานดังกล่าวจึงไม่ชอบ เห็นว่า คดีนี้แม้ในชั้นจับกุมเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมจะแจ้งข้อหาจำเลยเพียงว่า มียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ในชั้นสอบสวนร้อยตำรวจตรีณฐกร พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาจำเลยเพิ่มเติมว่า พยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ดังปรากฏตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาแล้ว แสดงว่า มีการสอบสวนในความผิดฐานดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องในความผิดฐานดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน ฎีกาอื่นของจำเลยนอกจากนี้ไม่เป็นสาระและไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 4 ปี และปรับ 200,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share