คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12518/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ชื่อสัญญาระบุว่าเป็นสัญญาร่วมหุ้นซื้อที่ดิน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนเสมอไป เพราะการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนนั้นจะต้องมีการกระทำกิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการนั้น แต่ตามสัญญาพิพาทมีเนื้อหาสาระเพียงว่า โจทก์ทั้งสองและจำเลยร่วมลงทุนซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 637 ในราคา 2,656,000 บาท วางมัดจำไว้ 1,000,000 บาท เป็นเงินของจำเลย 500,000 บาท และเงินของโจทก์ทั้งสองคนละ 250,000 บาท โดยตกลงกันให้ผู้ถือหุ้นแต่ละคนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามอัตราส่วนของจำนวนเงินที่ลงหุ้นวางมัดจำไว้เท่านั้น อันเป็นสัญญารูปแบบหนึ่ง ไม่ใช่เป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนแต่อย่างใด
สัญญาร่วมหุ้นซื้อที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสอง ไม่ใช่สัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนแต่เป็นสัญญารูปแบบหนึ่งซึ่ง ป.พ.พ. หรือกฎหมายอื่นไม่ได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินลงหุ้นคืนโจทก์ทั้งสองคนละ 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 908,562 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 660,772.50 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,183,562 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 860,772.50 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 2 ให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 592, 593 และ 9736 ตำบลปลายบาง (ศีศะคู) อำเภอบางกรวย (บางใหญ่) จังหวัดนนทบุรี ให้แก่โจทก์ทั้งสอง พร้อมทั้งไปจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินทั้งสามแปลง โดยบรรยายส่วนให้โจทก์ทั้งสองมีกรรมสิทธิ์รวมคนละหนึ่งในสี่ส่วนของที่ดิน หากจำเลยไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากพ้นวิสัยจะดำเนินการได้ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ทั้งสองคนละ 10,299,375 บาท โดยคิดจากราคาที่ดินไร่ละ 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยถึงแก่ความตาย โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกนางบังอร ทายาทของจำเลยเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งบุคคลผู้ถูกเรียกเป็นคู่ความแทน
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสองคนละ 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 11 พฤษภาคม 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 660,772.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2535 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 247,789.68 บาท ตามที่ขอ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 860,772.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2535 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 2 แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 322,789.68 บาท ตามที่ขอ ให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 592, 593 และ 9736 ตำบลปลายบาง (ศีศะคู) อำเภอบางกรวย (บางใหญ่) จังหวัดนนทบุรี ให้แก่โจทก์ทั้งสองและให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดินดังกล่าวคนละหนึ่งในสี่ส่วน หากจำเลยไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่บังคับให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสองคนละ 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า แม้ชื่อสัญญาระบุว่าเป็นสัญญาร่วมหุ้นซื้อที่ดิน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนเสมอไป เพราะการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนนั้นจะต้องมีการกระทำกิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการนั้น มีเนื้อหาสาระเพียงว่า โจทก์ทั้งสองและจำเลยร่วมลงทุนซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 637 ในราคา 2,656,000 บาท วางมัดจำไว้ 1,000,000 บาท เป็นเงินของจำเลย 500,000 บาท และเงินโจทก์ทั้งสองคนละ 250,000 บาท กับร่วมลงทุนซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 592, 593 และ 9736 โดยตกลงกันให้ผู้ถือหุ้นแต่ละคนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามอัตราส่วนของจำนวนเงินที่ลงหุ้นวางมัดจำไว้เท่านั้น อันเป็นสัญญารูปแบบหนึ่ง ไม่ใช่เป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนแต่อย่างใด สำหรับเงินที่โจทก์ทั้งสองออกไปคนละ 250,000 บาท ปรากฏว่าจำเลยได้จ่ายเป็นค่ามัดจำให้แก่พันจ่าอากาศเอกสนั่นตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำแล้ว แม้ต่อมาพันจ่าอากาศเอกสนั่นผิดสัญญายังไม่โอนที่ดินให้แก่จำเลย แต่ก็ไม่ปรากฏว่าพันจ่าอากาศเอกสนั่นได้คืนเงินมัดจำให้แก่จำเลยแล้ว จึงไม่มีเงินมัดจำอยู่กับจำเลยอันจะต้องคืนให้แก่โจทก์ทั้งสอง กรณีไม่ต้องด้วยเรื่องผู้เป็นหุ้นส่วนเรียกเอาส่วนของตนคืนจากผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นตามที่โจทก์ทั้งสองฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยปัญหาข้อนี้มา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
สัญญาร่วมหุ้นซื้อที่ดินระหว่างโจทก์ทั้งสองกับไม่ใช่สัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนแต่เป็นสัญญารูปแบบหนึ่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือกฎหมายอื่นไม่ได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 โดยให้เริ่มนับแต่ขณะที่โจทก์ทั้งสองอาจบังคับสิทธิเรียกร้องเป็นต้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share