คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8914/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก บัญญัติว่า “เมื่อความปรากฏแก่ศาลเองหรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่า ภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิดอันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้น ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลังหรือบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังแล้วแต่กรณี” ดังนั้น เมื่อความปรากฏแก่ศาลเองจากรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยของพนักงานคุมประพฤติว่า ภายในกำหนดระยะเวลาที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนทั้งสองคดี จำเลยมากระทำความผิดคดีนี้อีก จึงต้องนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนทั้งสองคดีมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องและขอให้บวกโทษในคดีดังกล่าวเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ก็ตาม ที่ศาลล่างทั้งสองมิได้นำโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนทั้งสองคดีมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของกฎหมายและกรณีนี้มิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ และมิใช่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยเพราะกฎหมายบัญญัติให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษคดีหลังด้วยเสมอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยากเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 101/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่ง จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 74 คงจำคุก 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางส่วนรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะในการขับขี่ จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดจึงไม่อาจริบได้ ให้ยกคำขอโจทก์ในส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกนั้น เห็นว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 30 เม็ด (หน่วยการใช้) น้ำหนัก 2.530 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.363 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ลักษณะการกระทำความผิดของจำเลยมีส่วนก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของยาเสพติดให้โทษอันเป็นผลกระทบสร้างปัญหาแก่สังคมไม่มีที่สิ้นสุด และตามรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยของพนักงานคุมประพฤติซึ่งศาลชั้นต้นได้อ่านให้จำเลยฟังตามพระราชบัญญัติวิธีดำเนินการคุมความประพฤติตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2522 มารตรา 13 แล้ว จำเลยไม่คัดค้าน เป็นการยอมรับข้อเท็จจริงตามรายงานนั้นว่า เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2548 จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 2 ปี และปรับ 5,000 บาท ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 521/2548 ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสงขลาและเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2548 จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน และปรับ 2,000 บาท ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 536/2548 ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสงขลาและในแต่ละคดีศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสงขลาได้ให้โอกาสแก่จำเลยเพื่อกลับตนเป็นพลเมืองดี จึงรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยไว้มีกำหนดคดีละ 2 ปี แต่จำเลยก็หาได้แก้ไขปรับปรุงตัว และกลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีก อันแสดงให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดติดนิสัยไม่สำนึกหรือเกรงกลัวต่อโทษที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องที่ร้ายแรง แม้ขณะกระทำความผิดจำเลยจะยังอยู่ในระหว่างศึกษาเล่าเรียน ตลอดจนสามารถแก้ไขปรับปรุงตัวหลังเกิดเหตุโดยมีความประพฤติไม่เสียหายหรือมีเหตุอื่นดังที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกา ก็มิใช่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะรับฟังเพื่อรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย อย่างไรก็ตามขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 19 ปี และในชั้นพิจารณาจำเลยให้การรับสารภาพนับว่าจำเลยยังรู้สำนึกในความผิดแห่งตน เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 (ที่แก้ไขใหม่) ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน นอกจากนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคแรก บัญญัติว่า “เมื่อความปรากฏแก่ศาลเองหรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่า ภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิดอันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้น ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง หรือบวกโทษที่รอการลงโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง หรือบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังแล้วแต่กรณี” ดังนั้น เมื่อความปรากฏแก่ศาลเองจากรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยของพนักงานคุมประพฤติว่า ภายในกำหนดระยะเวลาที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนทั้งสองคดี จำเลยมากระทำความผิดคดีนี้อีก จึงต้องนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนทั้งสองคดีมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องและขอให้บวกโทษในคดีดังกล่าวเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ก็ตาม ที่ศาลล่างทั้งสองมิได้นำโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนทั้งสองคดีมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย และกรณีนี้มิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอและมิใช่เป็นการเพิ่มโทษจำเลย เพราะกฎหมายบัญญัติให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังด้วยเสมอ”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ลงหนึ่งในสาม วางโทษจำคุก 2 ปี 8 เดือน ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน นำโทษจำคุก 2 ปี ของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 521/2548 ของศาลเยาวชนและครอบครัว จังหวัดสงขลา และโทษจำคุก 6 เดือน ของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 536/2548 ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสงขลา บวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ รวมลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 3 ปี 10 เดือน หากคดีที่ให้บวกโทษปรากฏว่าจำเลยต้องขังก็ให้หักวันต้องขังให้ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share