คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5544/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุทำร้ายจำเลยก่อน ถือได้ว่าการกระทำของผู้ตายเป็นภยันตรายต่อจำเลยซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายแล้ว เมื่อจำเลยพยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้โดยวิ่งหลบหนี แต่ผู้ตายซึ่งถือขวดกับพวกยังคงวิ่งไล่ตามจำเลยและผู้ตายจะขว้างขวดใส่จำเลย อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน หากผู้ตายขว้างขวดใส่จำเลยอาจทำให้จำเลยได้รับอันตรายได้ หรือหากวิ่งทันจำเลยก็อาจทำร้ายจำเลยได้ ภยันตรายที่เกิดจากผู้ตายจึงยังไม่หมดไป จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกันตัวได้แต่จำเลยมีอาวุธปืนที่ร้ายแรงกว่า จำเลยจึงอาจยิงขู่หรือเลือกยิงร่างกายส่วนที่สำคัญน้อยหรือเป็นอันตรายน้อยเพื่อยังยั้งผู้ตายกับพวกมิให้เข้าทำร้ายจำเลย แต่จำเลยกลับยิงผู้ตายบริเวณหน้าอกอันเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตาม ป.อ. มาตรา 69

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 334, 371, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบอาวุธปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร ข้อหาฆ่าผู้อื่นให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกันและให้การปฏิเสธในข้อหาลักทรัพย์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 68, 69, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำคุก 6 ปี ฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครอง จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 6 เดือน ความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองและฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครอง จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ จำคุก 3 เดือน รวมจำคุก 6 ปี 9 เดือน ริบของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุสิบแปดปีเศษยังไม่เกินยี่สิบปี เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุก 10 ปี คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนตลอดจนคำเบิกความในชั้นพิจารณาของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 6 ปี 8 เดือน เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานมีอาวุธปืนและฐานพาอาวุธปืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 6 ปี 17 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุผู้ตายกับพวกอีก 6 ถึง 7 คน เดินเข้าไปหาจำเลยแล้วผู้ตายชกต่อยจำเลยบริเวณหลัง 2 ครั้ง จำเลยจึงวิ่งหลบหนี ผู้ตายกับพวกวิ่งไล่ตามโดยผู้ตายถือขวดอยู่ในมือและจะขว้างขวดใส่จำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัด กระสุนปืนถูกบริเวณหน้าอกเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายตามรายงานการชันสูตรพลิกศพ สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร และฐานลักทรัพย์ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุทำร้ายจำเลยก่อน ถือได้ว่าการกระทำของผู้ตายเป็นภยันตรายต่อจำเลยซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายแล้ว เมื่อจำเลยพยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้โดยวิ่งหลบหนี แต่ผู้ตายซึ่งถือขวดกับพวกยังคงวิ่งไล่ตามจำเลยและผู้ตายจะขว้างขวดใส่จำเลยอันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน หากผู้ตายขว้างขวดใส่จำเลยอาจทำให้จำเลยได้รับอันตรายได้ หรือหากวิ่งทันจำเลยอาจทำร้ายจำเลยได้ ภยันตรายที่เกิดจากผู้ตายจึงยังไม่หมดไป จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกันตัวได้ แต่จำเลยมีอาวุธปืนที่ร้ายแรงกว่าจำเลยจึงจึงอาจยิงขู่หรือเลือกยิงร่างกายส่วนที่สำคัญน้อยหรือเป็นอันตรายน้อยเพื่อยับยั้งผู้ตายกับพวกมิให้เข้าทำร้ายจำเลย แต่จำเลยกลับยิงผู้ตายบริเวณหน้าอกอันเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยหนึ่งในสามเฉพาะความผิดฐานฆ่าผู้อื่น โดยไม่ลดมาตราส่วนโทษฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรให้จำเลยด้วยนั้นไม่ถูกต้อง เพราะว่าการลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 เป็นการลดมาตราส่วนโทษเพราะเหตุอายุของผู้กระทำผิด เมื่อศาลใช้ดุลพินิจลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยแล้วก็จำต้องลดให้ทุกกระทงความผิด แม้ว่าความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรจะยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ตาม แต่ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 69 ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำคุก 4 ปี ฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 4 เดือน ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุลดโทษให้หนึ่งในสาม ส่วนความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ 2 ปี 8 เดือน ฐานมีอาวุธปืน 4 เดือน ฐานพาอาวุธปืน 2 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 14 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share