คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 414/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ในกรณีที่โจทก์ทิ้งฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ศาลมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 132 (1) แต่บทบัญญัติมาตรา 132 (1) นี้มิได้บังคับเด็ดขาดว่า ศาลต้องจำหน่ายคดีทุกกรณี แต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจว่าจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่ก็ได้ ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่จำหน่ายคดีแล้วกำหนดเวลาให้โจทก์นำเงินมาเสียค่าขึ้นศาลใหม่ จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย บริเวณสถานีคลองลึก เพื่อปลูกสร้างอาคารชั่วคราวให้ประชาชนเช่าช่วงประกอบการค้า การรถไฟแห่งประเทศไทยตกลงจะให้โจทก์เช่าที่ดินและอาคารมีกำหนด 3 ปี ก่อนโจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดิน จำเลยได้บุกรุกเข้ามาปลูกสร้างโรงเรือนเป็นอาคารชั้นเดียวลงบนที่ดินที่โจทก์เช่า โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนดังกล่าวออกไปแต่จำเลยเพิกเฉยอันเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหายต้องขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดินที่เช่าในพื้นที่ที่จำเลยบุกรุก ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนอาคารหรือโรงเรือน 1 หลัง ออกไปจากที่ดินที่โจทก์เช่าจากการรถไฟแห่งประเทศไทย ห้ามมิให้เข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไปและให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 15,000 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะรื้อถอนอาคารหรือโรงเรือนนั้นออกไป และส่งมอบที่ดินแก่โจทก์
ระหว่างพิจารณาก่อนยื่นคำให้การ นายธงชัย ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยและจำเลยร่วมให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะการรถไฟแห่งประเทศไทยไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย และโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้ฟ้องและดำเนินคดีแทน ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความเพราะฟ้องเกิน 1 ปี ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ผู้อื่นมีสิทธิครอบครอง แล้วโอนต่อกันมาจนเป็นของจำเลยร่วม โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายเพราะโจทก์ก่อสร้างกำแพงทึบปิดกั้นที่ดินพิพาทไม่มีทางออก ไม่สามารถทำการค้าได้ ได้แต่ใช้อยู่อาศัยซึ่งอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 500 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกการรถไฟแห่งประเทศไทยเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมรื้อถอนอาคาร 1 หลัง ออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามมิให้เข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้จำเลยกับจำเลยร่วมร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินเดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 31 สิงหาคม 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยกับจำเลยร่วมจะรื้อถอนอาคารออกไปและส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ กับให้จำเลยและจำเลยร่วมร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์และโจทก์ร่วม โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 4,000 บาท
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ให้จำเลยและจำเลยร่วมร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,500 บาท แทนโจทก์ โจทก์ร่วมไม่แก้อุทธรร์จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยและจำเลยร่วมเฉพาะในข้อที่ 3 ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่าการที่ศาลชั้นต้นไม่สั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องเพราะไม่นำเงินค่าขึ้นศาลมาเสียให้ครบภายในกำหนดเวลาที่ศาลมีคำสั่งนั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ในกรณีที่โจทก์ทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ศาลมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132 (1) นี้มิได้บังคับเด็ดขาดว่า ศาลต้องจำหน่ายคดีทุกกรณีแต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจว่าจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่ก็ได้ ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่จำหน่ายคดีแล้วกำหนดเวลาให้โจทก์นำเงินมาเสียค่าขึ้นศาลใหม่ จึงชอบแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยและจำเลยร่วมฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share