คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1260/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องและพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี คำวินิจฉัยของศาลฎีกาในประเด็นอำนาจฟ้องจึงถึงที่สุดแล้ว ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยซ้ำอีกไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่า โจทก์มิได้ถูกโต้แย้งสิทธิตามสัมปทานทำไม้ป่าชายเลน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น จึงเป็นการวินิจฉัยในเนื้อหาเช่นเดียวกับที่ศาลฎีกาวินิจฉัยไว้ดังกล่าวแล้วข้างต้นนั่นเองจึงเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินชดเชยความเสียหายจำนวน 1,875,000 บาท กับเงินประกันจำนวน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 30 มีนาคม 2550 ชอบแล้วหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้อง คำให้การ คดีมีประเด็นพิพาทโต้แย้งกันว่า จำเลยหรือตัวแทนของจำเลยมีคำสั่งให้โจทก์หยุดทำกิจการทำไม้ป่าชายเลนที่ได้รับสัมปทานตามสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนเอกสารหมาย จ.1 เป็นการชั่วคราวอันจะเป็นเหตุให้จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนกับโจทก์หรือไม่ และจะต้องจ่ายเงินชดเชยความเสียหายกับคืนเงินประกันในการที่จะต้องชำระเบี้ยปรับตามเงื่อนไขในสัมปทานให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด อันเป็นประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นจะต้องพิจารณาวินิจฉัยจากพยานหลักฐานที่คู่ความทั้งสองฝ่ายได้นำสืบก่อน แล้วพิพากษาใหม่ต่อไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6815/2549 โดยมิได้มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยซ้ำอีกว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เพราะในเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์นั้น ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวว่าตามคำฟ้องเป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาสัมปทาน มิใช่ฟ้องเวนคืนสัมปทานทำไม้ป่าชายเลนเพื่อที่จะได้รับเงินชดเชยความเสียหายตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 68 อัฏฐ ซึ่งจะต้องเป็นกรณีที่จำเลยได้รัฐมนตรีได้สั่งการโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีให้โจทก์หยุดทำกิจการที่ได้รับสัมปทานเป็นการชั่วคราวตามมาตรา 68 ทวิ (2) เสียก่อน ดังนั้นคำวินิจฉัยของศาลฎีกาในประเด็นอำนาจฟ้องจึงถึงที่สุดแล้ว ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยซ้ำอีกไม่ได้ ศาลชั้นต้นจะต้องวินิจฉัยในประเด็นต่อไปว่า มีตัวแทนจำเลยแจ้งให้โจทก์หยุดทำไม้ป่าชายเลนอันเป็นการผิดสัญญาสัมปทานหรือไม่ และโจทก์ได้รบความเสียหายหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่า โจทก์มิได้ถูกโต้แย้งสิทธิตามสัมปทานทำไม้ป่าชายเลน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น จึงเป็นการวินิจฉัยในเนื้อหาเช่นเดียวกับที่ศาลฎีกาวินิจฉัยไว้ดังกล่าวแล้วข้างต้นนั่นเองจึงเป็นการไม่ชอบ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลช้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share