คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10015/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 กับพวกและผู้เสียหายนั่งดื่มเบียร์อยู่ด้วยกัน แล้วจำเลยที่ 1 ล้วงกระเป๋ากางเกงของผู้เสียหายหยิบกระเป๋าเงินออกมา เมื่อเห็นว่าไม่มีเงินในกระเป๋าจึงล้วงหยิบเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายออกมาโดยจำเลยที่ 1 บอกว่าถ้าไม่ให้โทรศัพท์จะทำร้าย หลังเกิดเหตุผู้เสียหายกลับไปบ้านพัก สักครู่หนึ่งจำเลยที่ 1 ก็นำโทรศัพท์เคลื่อนที่มาคืนให้ผู้เสียหายแม้จะคืนโดยโยนลงพื้นเอาเท้าเหยียบแล้วบอกให้ผู้เสียหายคลานมาเอา จากพฤติการณ์ดังกล่าวเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการทำไปด้วยความคึกคะนองมิได้ประสงค์ต่อทรัพย์โดยมีเจตนาทุจริตเพื่อเอาทรัพย์ไปเป็นของตนเอง อันเป็นการขาดองค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ จึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามฟ้อง การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงความผิดต่อเสรีภาพตาม ป.อ. มาตรา 309 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 339 และบวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1467/2545 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง จำคุก 10 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง ลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 6,000 บาท คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของจำเลยที่ 1โดยให้จำเลยที่ 1 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ต่อครั้งมีกำหนด 1 ปี กับให้จำเลยที่ 1 กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยที่ 1 เห็นสมควร มีกำหนด 30 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหานอกจากนี้ให้ยก และให้ยกคำขอให้บวกโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ผู้เสียหายและจำเลยที่ 1 พักอาศัยอยู่ในละแวกหมู่บ้านสวนสนแห่งเดียวกัน ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ชักชวนผู้เสียหายให้ไปร่วมดื่มเบียร์ด้วยกัน ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 ล้วงกระเป๋ากางเกงของผู้เสียหายหยิบกระเป๋าเงินออกมาจะเป็นการเจตนาเพื่อหาเงินไปซื้อเบียร์มาดื่มต่อ เมื่อไม่มีเงินในกระเป๋าของผู้เสียหาย การที่จำเลยที่ 1 ล้วงหยิบเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายออกมา น่าจะเป็นเรื่องเจตนาของจำเลยที่ 1 ที่ประสงค์จะโทรศัพท์ไปที่บ้านพักเพื่อขอเงินมาซื้อเบียร์เพิ่มดังที่จำเลยที่ 1 นำสืบต่อสู้ หลังเกิดเหตุจำเลยที่ 1 มิได้หลบหนีไปแต่อย่างใด และผู้เสียหายไม่ได้ไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ทันที แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าหลังเกิดเหตุผู้เสียหายกลับไปบ้านพัก สักครู่หนึ่งจำเลยที่ 1 นำโทรศัพท์เคลื่อนที่มาคืนให้แก่ผู้เสียหาย แม้ในการคืนโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ 1 จะมีพฤติการณ์โยนโทรศัพท์ลงบนพื้นแล้วเอาเท้าเหยียบไว้พร้อมกับพูดว่าอยากให้คลานมาเอาก็เป็นการกระทำที่ไม่สมควรเท่านั้น จากพฤติการณ์ดังกล่าวเห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการทำไปด้วยความคึกคะนอง มิได้ประสงค์ต่อทรัพย์โดยมีเจตนาทุจริตเพื่อเอาทรัพย์ไปเป็นของตนเอง อันเป็นการขาดองค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ จึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share