แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านระหว่างจำเลยกับ ท. บิดาโจทก์ทั้งเจ็ด เป็นการฟ้องเรียกให้ได้ที่ดินและบ้านกลับคืนมาเป็นทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ทั้งเจ็ด จึงเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนราคาที่ดินและบ้านนั้นและเมื่อโจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องโดยอ้างว่า โจทก์แต่ละคนมีสิทธิในที่ดินและบ้านคนละ 1 ใน 8 ส่วนเท่ากัน จึงเป็นหนี้อันอาจแบ่งแยกได้ ต้องถือทุนทรัพย์แยกกันตามรายตัวโจทก์ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดมีคำขอให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านคืนหากไม่สามารถทำได้ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,000,000 บาท จำนวนหนี้ตามสิทธิของโจทก์แต่ละคนจึงไม่เกิน 200,000 บาท คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์ทั้งเจ็ดฟังได้ว่า ท. ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านแทนโจทก์ทั้งเจ็ด การขายที่ดินและบ้านแก่จำเลยเป็นเจตนาลวงและเป็นการฉ้อฉลโจทก์ทั้งเจ็ด โจทก์ทั้งเจ็ดจึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินและบ้านได้ และจำเลยต้องชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งเจ็ด ล้วนเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
ท. ขายที่ดินมรดกบางส่วนไปในขณะที่ยังไม่มีการแบ่งปันมรดกแล้วนำเงินที่ได้ไปซื้อที่ดินแปลงอื่น ที่ดินที่ซื้อมานั้นไม่ถือว่าเป็นทรัพย์ที่มีสถานะเช่นเดียวกับทรัพย์มรดกที่จะนำมาแบ่งปันแก่ทายาท ดังนั้น การที่ ท. โอนที่ดินที่ซื้อมาดังกล่าวให้แก่จำเลย โจทก์ทั้งเจ็ดไม่อาจฟ้องร้องขอให้เพิกถอนได้ คงมีสิทธิฟ้องร้องขอให้เพิกถอนได้เฉพาะการโอนขายที่ดินที่เป็นมรดกแปลงแรกเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 42037 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้าง บ้านเลขที่ 59/101 หมู่ที่ 19 ที่นายทิ้งให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์รวม ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2536 และที่โอนขายที่ดินเฉพาะส่วนแก่จำเลย ลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2537 ให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวคืนแก่โจทก์ทั้งเจ็ดหรือกองมรดกของนายทิ้ง หากไม่สามารถทำได้ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยชำระดอกผลจากค่าเช่าบ้านดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ดเดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบที่ดินและบ้านคืนแก่โจทก์ทั้งเจ็ด
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ทั้งเจ็ดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
โจทก์ทั้งเจ็ดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกา
ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 1 ถึงแก่กรรม นางชลลดาทายาทของโจทก์ที่ 1 ร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างจำเลยกับนายทิ้งบิดาโจทก์ทั้งเจ็ดเป็นการฟ้องเรียกให้ได้ที่ดินและบ้านพิพาทกลับคืนมาเป็นทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ทั้งเจ็ด คดีของโจทก์ทั้งเจ็ดจึงเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนราคาที่ดินและบ้านพิพาทนั้นและเมื่อโจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องโดยอ้างว่า โจทก์แต่ละคนมีสิทธิในที่ดินและบ้านพิพาทคนละ 1 ใน 8 ส่วนเท่ากัน จึงเป็นหนี้อันอาจแบ่งแยกได้ ต้องถือทุนทรัพย์แยกกันตามรายตัวโจทก์ ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดมีคำขอให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทคืน หากไม่สามารถทำได้ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,000,000 บาท จำนวนหนี้ตามสิทธิของโจทก์แต่ละคนจึงไม่เกิน 200,000 บาท คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์ทั้งเจ็ดฟังได้ว่า นายทิ้งถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทแทนโจทก์ทั้งเจ็ด การขายที่ดินและบ้านพิพาทแก่จำเลยเป็นเจตนาลวงและเป็นการฉ้อฉลโจทก์ทั้งเจ็ดโจทก์ทั้งเจ็ดจึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินและบ้านพิพาทได้ และจำเลยต้องชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งเจ็ดล้วนเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาในข้อนี้ของโจทก์ทั้งเจ็ดมานั้นไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่าโจทก์ทั้งเจ็ดเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายทิ้งกับนางเจียม นางเจียมถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2514 นายทิ้งซื้อที่ดินพิพาท โฉนดเลขที่ 42037 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี มาจากบริษัทเอส.แอล.ซี (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อปี 2531 ต่อมาเมื่อปี 2535 นายทิ้งจดทะเบียนสมรสกับจำเลยและเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2536 นายทิ้งจดทะเบียนให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทแล้วนายทิ้งจดทะเบียนโอนขายที่ดินส่วนของตนให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2537 คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์ทั้งเจ็ดว่า โจทก์ทั้งเจ็ดมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทระหว่างนายทิ้งกับจำเลยหรือไม่โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกาว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หลังจากนางเจียมถึงแก่ความตาย นายทิ้งขายที่ดินมรดกที่เป็นทรัพย์สินของนายทิ้งกับนางเจียมอยู่ที่ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานีเนื้อที่ประมาณ 40 ไร่ แล้วนำเงินไปซื้อที่ดิน 3 แปลง คือ ที่อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี 2 แปลง กับที่อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อีก 1 แปลง ต่อมาประมาณปี 2531 นายทิ้งขายที่ดินที่อำเภอบางไทรแล้วนำเงินไปซื้อที่ดินพร้อมบ้าน 2 แห่งซึ่งแห่งหนึ่งคือ ที่ดินและบ้านพิพาทนี้ กรณีดังกล่าวต้องถือว่า ที่ดินและบ้านพิพาทได้แปรสภาพมาจากทรัพย์มรดกของนางเจียม จึงเป็นทรัพย์ที่มีสถานะเช่นเดียวกับทรัพย์มรดก เมื่อนายทิ้งโอนขายไปให้แก่จำเลยโดยโจทก์ทั้งเจ็ดไม่ยินยอม โจทก์ทั้งเจ็ดย่อมมีอำนาจฟ้องติดตามเอาคืนได้ นั้น เห็นว่า แม้จะฟังว่านายทิ้งบิดาโจทก์ทั้งเจ็ดขายที่ดินที่เป็นมรดกบางส่วนไปขณะที่ยังมิได้มีการแบ่งปันมรดก แล้วนำเงินที่ได้มาซื้อที่ดินแปลงอื่น ที่ดินที่ซื้อมานั้นก็ไม่ถือว่าเป็นทรัพย์ที่มีสถานะเช่นเดียวกับทรัพย์มรดกที่จะต้องนำมาแบ่งปันแก่ทายาทดังที่โจทก์ทั้งเจ็ดอ้าง โจทก์ทั้งเจ็ดอาจฟ้องร้องขอให้เพิกถอนการโอนขายที่ดินที่เป็นมรดกแปลงแรกได้ หากการโอนดังกล่าวเป็นไปโดยไม่ชอบแต่โจทก์ทั้งเจ็ดไม่อาจอ้างสิทธิในฐานะทายาทของนางเจียมมาฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างนายทิ้งกับจำเลยโดยอ้างว่าที่ดินและบ้านพิพาทมีสถานะเช่นเดียวกับทรัพย์มรดกของนายเจียมได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งเจ็ดฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ