คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 639/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพว่าจำเลยได้พรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร. แต่เมื่อผู้เยาว์ได้ยื่นคำร้องขึ้นมาว่าเหตุเกิดเนื่องจากถูกบิดาเลี้ยงดุด่าและตีไล่ให้ออกจากบ้าน. จึงไปอาศัยจำเลยซึ่งเป็นคนรู้จักชอบพอกันมาก่อน. จำเลยทั้งสองก็ได้ให้ความอุปการะตลอดมาเช่นนี้ ย่อมทำให้เกิดข้อเท็จจริงขึ้นใหม่. เมื่อโจทก์จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน.ศาลย่อมฟังตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นใหม่นี้ได้.
เมื่อโจทก์ฟ้องแล้ว และจำเลยให้การรับสารภาพ. ศาลย่อมทำคำพิพากษาได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 20. และขณะที่คดีอยู่ในอำนาจของศาลแล้วได้ปรากฏข้อเท็จจริงขึ้นใหม่. โจทก์เองก็มิได้ขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นอย่างอื่น. กลับแถลงไม่ติดใจสืบพยาน. เพื่อหักล้างข้อเท็จจริงนั้น ศาลย่อมทำคำพิพากษาตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่นั้นได้. โจทก์จะกลับมาขอให้ศาลสั่งให้โจทก์รับตัวผู้ต้องหาคืนเพื่อดำเนินการต่อไปไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ร่วมกันพรากผู้เยาว์ไปจากผู้ปกครองเพื่อการอนาจาร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319, 83 จำเลยให้การรับสารภาพ เด็กหญิงเกียวผู้เยาว์ได้ยื่นคำร้องว่า เหตุเกิดเนื่องจากถูกบิดาเลี้ยงดุด่าและตีไล่ให้ออกจากบ้าน จึงได้ไปอาศัยจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นคนรู้จักชอบพอกันมาก่อน จำเลยทั้งสองก็ได้ให้ความอุปการะตลอดมา คู่ความแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ได้ความว่าที่เด็กหญิงเกียวผู้เสียหายไปอยู่กับจำเลยก็เพราะถูกบิดาเลี้ยงตีดุด่าไล่ให้ออกจากบ้านจึงไปอาศัยอยู่กับจำเลย ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารดังฟ้อง จึงให้ยกฟ้องของโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งตัวผู้ต้องหาคืนไปยังพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการต่อไป ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นจะสั่งให้ผู้ว่าคดีรับตัวจำเลยคืนเพื่อดำเนินการต่อไปได้ ก็ต่อเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยมาแล้วและจำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำผิดดังโจทก์ฟ้องเท่านั้นแต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่า เมื่อโจทก์แถลงมาจำเลยให้การรับสารภาพผิดตลอดข้อหา โจทก์เองยังไม่ติดใจสืบพยาน และศาลก็ได้พิพากษาไปตามกระบวนพิจารณาแล้ว มิใช่กรณีที่จำเลยให้การปฏิเสธโจทก์จะอุทธรณ์ขอให้ศาลสั่งให้ส่งตัวจำเลยคืนผู้ว่าคดีเพื่อดำเนินการต่อไปไม่ได้ พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพว่า จำเลยได้พรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารแต่เมื่อผู้เยาว์ได้ยื่นคำร้องขึ้นมาว่าเหตุเกิดเนื่องจากถูกบิดาเลี้ยงดุด่าและตีไล่ให้ออกจากบ้านจึงไปอาศัยจำเลยซึ่งเป็นคนรู้จักชอบพอกันมาก่อน จำเลยทั้งสองก็ได้ให้ความอุปการะตลอดมาเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดข้อเท็จจริงขึ้นใหม่เมื่อโจทก์จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ศาลย่อมฟังตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นใหม่นี้ได้ เมื่อโจทก์ฟ้องแล้วและจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลย่อมทำคำพิพากษาได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ. 2499 มาตรา 20 และขณะที่คดีอยู่ในอำนาจของศาลแล้วได้ปรากฏข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ โจทก์เองก็มิได้ขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นอย่างอื่น กลับแถลงไม่ติดใจสืบพยานเพื่อหักล้างข้อเท็จจริงนั้นศาลย่อมทำคำพิพากษาตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่นั้นได้ โจทก์จะกลับมาขอให้ศาลสั่งให้โจทก์รับตัวผู้ต้องหาคืนเพื่อดำเนินการต่อไปไม่ได้ พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์.

Share