คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7625/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

บริษัท ส. ที่โจทก์เป็นกรรมการได้มอบเงินให้บริษัท ซ. ที่จำเลยเป็นกรรมการเป็นค่าสินค้าที่โจทก์ชำระให้แก่จำเลยล่วงหน้า เงินจำนวนดังกล่าวไม่ใช่หนี้ตามข้อตกลงในฐานะส่วนตัวของโจทก์กับจำเลย แต่เป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท ส. กับจำเลยในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท ซ. ต่อมาบริษัท ซ. จะต้องคืนเงินแก่บริษัท ส. แต่ได้ทำในรูปสัญญากู้ยืมที่จำเลยลงลายมือชื่อรับผิดต่อโจทก์ หนี้ที่จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์จึงเป็นหนี้ที่บริษัท ซ. มีต่อบริษัท ส. ไม่ใช่เป็นหนี้ของจำเลยในฐานะส่วนตัว สัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงไม่มีมูลหนี้ต่อกัน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์โดยไม่ได้นำสืบว่าหนี้กู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้ ทั้งจำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินโจทก์ จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์โดยไม่มีเจตนาผูกพันตามสัญญา จึงรับฟังไม่ได้ว่าหนี้กู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้ตามที่โจทก์อ้าง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยว่า โจทก์จำต้องกล่าวในฟ้องถึงการแปลงหนี้ด้วยหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 4,950,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 4,000,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทสุนันทาฟาร์ม จำกัด และบริษัทกุ้งสยาม จำกัด ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการขายอาหาร เคมีภัณฑ์และเวชภัณฑ์สำรับการเลี้ยงสัตว์น้ำ จำเลยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทเซ้าท์อีสต์ อกริคัลเจอรัล แอนด์ คอมเมอร์เชียล จำกัด ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการผลิตจุลินทรีย์ในการเลี้ยงกุ้ง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544 บริษัทสุนันทาฟาร์ม จำกัด โอนเงิน 5,000,000 บาท เข้าบัญชีเงินฝากของบริษัทเซ้าท์อีสต์ อกริคัลเจอรัล แอนด์ คอมเมอร์เชียล จำกัด ที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาฉะเชิงเทรา และจำเลยลงลายมือชื่อในฐานะกรรมการผู้จัดการของบริษัทเซ้าท์อีสต์ อกริคัลเจอรัล แอนด์ คอมเมอร์เชียล จำกัด รับว่าได้รับชำระเงินดังกล่าวไว้แล้ว วันที่ 9 กรกฎาคม 2544 จำเลยลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน ตกลงว่าจะชำระเงิน 4,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ภายในวันที่ 26 ธันวาคม 2544 แก่โจทก์ ต่อมาวันที่ 26 ธันวาคม 2544 จำเลยลงลายมือชื่อพร้อมประทับตราสำคัญของบริษัทเซ้าท์อีสต์ อกริคัลเจอรัล แอนด์ คอมเมอร์เชียล จำกัด สั่งจ่ายเช็คของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) จำนวนเงิน 4,000,000 บาท แก่บริษัทสุนันทาฟาร์ม จำกัด และลงลายมือชื่อรับว่าได้คืนเงินค่าชำระค่าสินค้าล่วงหน้าแก่บริษัทสุนันทาฟาร์ม จำกัด 4,000,000 บาท เป็นเช็คฉบับดังกล่าว แต่เมื่อเช็คฉบับดังกล่าวถึงกำหนด ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินแก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์อ้างว่า ก่อนทำสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้อง จำเลยเป็นหนี้ต้องคืนเงินที่โจทก์มอบให้แก่จำเลยเป็นค่าชำระค่าสินค้าล่วงหน้า 4,000,000 บาท แก่โจทก์ แต่จำเลยไม่มีเงินคืนจึงทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้อง ให้โจทก์อันเป็นการแปลงหนี้ใหม่ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินแก่โจทก์ตามฟ้องนั้น ในข้อนี้โจทก์นำสืบว่า จำเลยเคยเสนอขายจุลินทรีย์ในการเลี้ยงกุ้งให้แก่โจทก์ซึ่งตรงกับความประสงค์ของบริษัทสุนันทาฟาร์ม จำกัด และบริษัทกุ้งสยาม จำกัด ที่ต้องการซื้อเพื่อนำไปใช้เองและขายต่อให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง และต้องใช้เป็นจำนวนมาก แต่บริษัทเซ้าท์อีสต์ อกริคัลเจอรัล แอนด์ คอมเมอร์เชียล จำกัด ไม่มีเงินทุนพอในการผลิตสินค้าได้ปริมาณเท่าที่บริษัทสุนันทาฟาร์ม จำกัด และบริษัทกุ้งสยาม จำกัดต้องการ จำเลยจึงเสนอให้โจทก์ชำระเงินค่าสินค้าล่วงหน้า 5,000,000 บาท แล้วจำเลยจะทยอยส่งสินค้าให้แก่บริษัทสุนันทาฟาร์ม จำกัด และบริษัทกุ้งสยาม จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายเพียงผู้เดียวจนกว่าจะครบจำนวนเงินค่าสินค้าที่ชำระล่วงหน้า โจทก์ตกลงจึงโอนเงินของบริษัทสุนันทาฟาร์ม จำกัด เข้าบัญชีของบริษัทเซ้าท์อีสต์ อกริคัลเจอรัล แอนด์ คอมเมอร์เชียล จำกัด แต่จำเลยไม่สามารถส่งสินค้าตามปริมาณที่ตกลงได้ โดยส่งได้คิดเป็นราคาเพียง 1,000,000 บาทเศษ บริษัทสุนันทาฟาร์ม จำกัด ไม่ประสงค์จะซื้อสินค้าดังกล่าวอีกต่อไปและให้จำเลยมาทำข้อตกลงเรื่องหนี้ดังกล่าวซึ่งเมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้วบริษัทเซ้าท์อีสต์ อกริคัลเจอรัล แอนด์ คอมเมอร์เชียล จำกัด ยังคงค้างชำระเงินบริษัทสุนันทาฟาร์ม จำกัด 4,000,000 บาทเศษ แต่บริษัทเซ้าท์อีสต์ อกริคัลเจอรัล แอนด์ คอมเมอร์เชียล จำกัด ไม่มีเงินชำระ โจทก์จึงให้จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องมอบให้โจทก์ไว้ ส่วนจำเลยนำสืบว่า จำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ เหตุที่บริษัทสุนันทาฟาร์ม จำกัด มอบเงิน 5,000,000 บาท ให้แก่บริษัทเซ้าท์อีสต์ อกริคัลเจอรัล แอนด์ คอมเมอร์เชียล จำกัด เพื่อร่วมลงทุนในการผลิตจุลินทรีย์ในการเลี้ยงกุ้งและขยายกำลังการผลิตสินค้าตามปริมาณที่บริษัทสุนันทาฟาร์ม จำกัด ต้องการ และให้บริษัทสุนันทาฟาร์ม จำกัด เป็นตัวแทนผู้จัดจำหน่ายเพียงผู้เดียว บริษัทเซ้าท์อีสต์ อกรีคัลเจอรัล แอนด์ คอมเมอร์เชียล จำกัด จัดส่งสินค้าให้แก่บริษัทสุนันทาฟาร์ม จำกัด หลังจากนั้นบริษัทสุนันทาฟาร์ม จำกัด ไม่สั่งสินค้าอีก อ้างว่าสินค้าดังกล่าวไม่ได้ผลตามที่คาดหมาย เป็นเหตุให้สินค้าของบริษัทเซ้าท์อีสต์ อกริคัลเจอรัล แอนด์ คอมเมอร์เชียล จำกัด เหลือเป็นจำนวนมาก ทั้งไม่สามารถจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลอื่นได้ จำเลยลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินให้โจทก์โดยไม่มีเจตนาที่จะผูกพันตามสัญญากู้ยืมเงิน เห็นว่า แม้จะรับฟังได้ตามที่โจทก์อ้างว่า เงิน 5,000,000 บาท ที่โจทก์มอบให้จำเลยเป็นค่าสินค้าที่โจทก์ชำระให้แก่จำเลยล่วงหน้า มิใช่เป็นการร่วมลงทุนกับจำเลยก็ตาม แต่ปรากฏว่าข้อตกลงมอบเงินจำนวนดังกล่าวไม่ใช่เป็นข้อตกลงในฐานะส่วนตัวของโจทก์กับจำเลย แต่เป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทสุนันทาฟาร์ม จำกัด กับจำเลยในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทเซ้าท์อีสต์ อกริคัลเจอรัล แอนด์ คอมเมอร์เชียล จำกัด หนี้ที่จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์จึงเป็นหนี้ที่บริษัทเซ้าท์อีสต์ อกริคัลเจอรัล แอนด์ คอมเมอร์เชียล จำกัด มีต่อบริษัทสุนันทาฟาร์ม จำกัด ไม่ใช่เป็นหนี้ของจำเลยในฐานะส่วนตัว สัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงไม่มีมูลหนี้ต่อกัน ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยไว้โดยละเอียดว่า โจทก์ไม่มีมูลหนี้ตามฟ้องที่จะเรียกร้องจากจำเลยได้นั้น ชอบด้วยข้อเท็จจริงและเหตุผล และต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา โดยไม่จำต้องนำมากล่าวซ้ำอีก ส่วนที่โจทก์อ้างว่า จำเลยทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องให้โจทก์เป็นการแปลงหนี้จากค่าสินค้าที่โจทก์ชำระแก่จำเลยล่วงหน้ามาเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน เมื่อยังไม่มีการชำระหนี้ถือว่าหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินมีผลสมบูรณ์ และโจทก์ไม่จำต้องกล่าวในฟ้องถึงการแปลงหนี้ดังกล่าว ก็มีสิทธิฟ้องเรียกร้องจากจำเลยได้นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ 4,000,000 บาท โดยไม่ได้นำสืบว่าหนี้กู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้ ทั้งจำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินโจทก์ จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์โดยไม่มีเจตนาผูกพันตามสัญญา จึงรับฟังไม่ได้ว่า หนี้กู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นหนี้ที่เกิดจากการแปลงหนี้ตามที่โจทก์อ้าง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์จำต้องกล่าวในฟ้องถึงการแปลงหนี้ด้วยหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share