คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10344/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ขณะ ท. สามีโจทก์ยังมีชีวิตอยู่ โจทก์กับ ท. แบ่งที่ดินสำหรับปลูกบ้าน ที่นาและที่สวนให้แก่บุตรทุกคนรวมทั้งจำเลยด้วย โดยจำเลยได้ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงในการให้ที่ดินดังกล่าวมีข้อตกลงว่า โจทก์กับ ท. มีสิทธิเก็บกินในที่ดิน ถ้าเป็นที่นาโจทก์กับ ท. มีสิทธิเก็บค่าเช่าที่นา ถ้าเป็นที่สวนผลไม้ โจทก์กับ ท. มีสิทธินำผลไม้ไปขายได้หรือหากบุตรซึ่งเป็นผู้รับนำผลไม้ไปขายก็ต้องนำเงินมาให้โจทก์กับ ท. ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า โจทก์ยกที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้จำเลยโดยโจทก์ยังมีสิทธิเก็บกินผลประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการให้สิ่งที่มีค่าภาระติดพัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกถอนคืนการให้ เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 535 (2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวคืนแก่โจทก์แปลงละกึ่งหนึ่ง โดยให้ไปจดทะเบียนโอนเป็นชื่อโจทก์ หากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 34020 ตำบลดงประคำ อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก เนื้อที่ 1 ไร่ 36 ตารางวา กึ่งหนึ่งและส่งมอบที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3855 ตำบลมะต้อง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก เนื้อที่ 16 ไร่ 3 งาน 47 ตารางวา กึ่งหนึ่งแก่โจทก์ และให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นชื่อของโจทก์แปลงละกึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายทรง อยู่กินมีบุตรด้วยกัน 9 คน จำเลยเป็นบุตรคนที่ 4 ขณะนายทรงยังมีชีวิตอยู่ นายทรงกับโจทก์ยกที่ดินซึ่งเป็นที่ดินสำหรับปลูกบ้านและทำนาให้จำเลย 2 แปลง คือ ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 34020 ตำบลดงประคำ อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก เนื้อที่ 1 ไร่ 36 ตารางวา และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3855 ตำบลมะต้อง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก เนื้อที่ 16 ไร่ 3 งาน 47 ตารางวา ตามโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ต่อมาวันที่ 4 ธันวาคม 2541 นายทรงถึงแก่ความตายตามมรณบัตร
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้องโจทก์ด้วยเหตุโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นมารดาจำเลยยกที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่จำเลย ซึ่งเป็นบุตรโดยเสน่หาและไม่มีค่าตอบแทน จำเลยประพฤติเนรคุณขอเพิกถอนคืนการให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 แต่โจทก์ จำเลยต่างนำสืบรับตรงกันว่า ขณะนายทรงยังมีชีวิตอยู่ โจทก์กับนายทรงแบ่งที่ดินสำหรับปลูกบ้านที่นาและที่สวนให้แก่บุตรทุกคนรวมทั้งจำเลยด้วย โดยจำเลยได้ที่ดินพิพาททั้งสองแปลง ในการให้ที่ดินดังกล่าวมีข้อตกลงว่า โจทก์กับนายทรงมีสิทธิเก็บกินในที่ดินถ้าเป็นที่นาโจทก์กับนายทรงมีสิทธิเก็บค่าเช่าที่นา ถ้าเป็นที่สวนผลไม้โจทก์กับนายทรงมีสิทธินำผลไม้ไปขายได้หรือหากบุตรซึ่งเป็นผู้รับนำผลไม้ไปขายก็ต้องนำเงินมาให้โจทก์กับนายทรง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า โจทก์ยกที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้จำเลยโดยโจทก์ยังมีสิทธิเก็บกินผลประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการให้สิ่งที่มีค่าภาระติดพัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกถอนคืนการให้ เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 535 (2) ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ให้การต่อสู้ตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ในศาลชั้นต้น และมิได้อุทธรณ์เป็นปัญหาวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ก็มีอำนาจยกปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) มิใช่กรณีอันจะถือได้ว่าจำเลยสละข้อต่อสู้ในประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องดังที่โจทก์ฎีกา ทั้งแม้จะมีการสืบพยานเพิ่มเติมอย่างไร ก็ไม่ทำให้ผลของคำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้องมาจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share