แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14 เป็นข้อที่ศาลชอบที่จะหยิบยกในชั้นพิจารณาเอาความจริงตามคำฟ้องโจทก์ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ดังนี้ แม้ภายหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว โจทก์จะได้รับชำระหนี้ครบจำนวนตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แต่ก็ไม่อาจถือเป็นเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การต่อสู้คดี แต่ต่อมาขอสละคำให้การและไม่สืบพยาน
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14 ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “…ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ครั้งที่ 6 ลงวันที่ 2 ตุลาคม 2549 เอกสารแนบท้ายอุทธรณ์ของจำเลยหมายเลข 7 ข้อ 1 และ 2 จำเลยยอมรับว่า ณ วันที่ 23 สิงหาคม 2549 จำเลยค้างชำระหนี้รวม 4,916,128.85 บาท และขอชำระต้นเงินบางส่วนจำนวน 800,000 บาท ให้แก่โจทก์ก่อนวันที่ 5 ตุลาคม 2549 เพื่อให้โจทก์ถอนฟ้องคดีนี้ และตามเอกสารแนบท้ายอุทธรณ์ของจำเลยหมายเลข 8 ได้ความว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2549 จำนวน 500,000 บาท และวันที่ 30 มีนาคม 2550 จำนวน 300,000 บาท เห็นได้ว่าโจทก์ลดยอดหนี้ให้แก่จำเลยจากจำนวน 4,916,128.85 บาท คงเหลือเพียง 800,000 บาท ซึ่งหนี้ที่ลดให้เป็นจำนวนมาก แม้โจทก์จะได้รับชำระหนี้ครบถ้วนตามจำนวนที่ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แต่ก็ชำระล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ในสัญญาเกือบ 6 เดือน ที่จำเลยอ้างในอุทธรณ์ว่ากิจการของจำเลยมีรายได้หมุนเวียนเดือนละไม่น้อยกว่า 300,000 บาท ก็ไม่ได้ความว่ามีกำไรหรือไม่ อย่างไร หากมีกำไรจำเลยก็น่าจะชำระหนี้แก่โจทก์ได้ภายในกำหนดเวลาตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าว ทั้งศาลล้มละลายกลางก็ได้ให้โอกาสแก่จำเลยในการชำระหนี้ โดยคดีนี้เสร็จการพิจารณาตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2549 ศาลล้มละลายกลางนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2549 เมื่อถึงวันนัดจำเลยขอเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งออกไปโดยอ้างว่าชำระหนี้โจทก์แล้ว 500,000 บาท คงเหลือเพียง 300,000 บาท ซึ่งศาลล้มละลายกลางก็ได้อนุญาตให้เลื่อนไปนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งในวันที่ 29 มีนาคม 2550 เมื่อจำเลยยังไม่สามารถชำระหนี้เพื่อให้โจทก์ถอนฟ้อง ศาลล้มละลายกลางจึงได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยในวันดังกล่าว โดยหากนับแต่คดีเสร็จการพิจารณาจนถึงวันที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเป็นเวลานานถึง 7 เดือน ทั้งเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14 นั้น เป็นข้อที่ศาลล้มละลายกลางชอบที่จะหยิบยกในชั้นพิจารณาเอาความจริงตามคำฟ้องโจทก์ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดด้วย ดังนี้ แม้ภายหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว โจทก์จะได้รับชำระหนี้ครบจำนวนตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แต่ก็ไม่อาจถือเป็นเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ