คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7884/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โรงงานที่เสียหายเป็นของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยงานของทางราชการที่ไม่ได้แสวงหากำไร เพียงแต่อนุญาตให้สหกรณ์ซึ่งมีผู้เสียหายที่ 2 เป็นประธานเป็นผู้ดูแลเท่านั้น ประชาชนมีสิทธิเป็นสมาชิกและเข้าใช้ประโยชน์ได้ จึงเป็นทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ จึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตาม ป.อ.มาตรา 360
ความเสียหายที่จำเลยก่อกับทรัพย์ไม่ถึงกับทำให้ทรัพย์ใช้งานไม่ได้อีกต่อไป ทั้งจำเลยกระทำระหว่างสมาชิกหยุดใช้งานโรงรมยางพาราเพราะอยู่ในช่วงยางพาราผลัดใบ ประกอบกับจำเลยกระทำเพราะเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมที่ไม่ได้ผลประโยชน์ตอบแทนจากที่ยินยอมให้สร้างโรงรมยางพาราในที่ดินของจำเลย จึงเห็นสมควรลงโทษจำเลยสถานเบาและรอการลงโทษให้ ตาม ป.อ. มาตรา 29, 30

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 จำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายงัดประตูเหล็กโรงรมยางพารา 2 บาน ตัดฟันท่อประปา ขุดดินถมในบ่อบำบัดน้ำใส กับงัดท่อบำบัดน้ำเสีย ของสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางพารา อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ผู้เสียหายที่ 1 และอยู่ในความควบคุมดูแลรักษาของนายเสนอผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นประธานสหกรณ์กองทุนสวนยางตำบลเพหลา จำกัด ผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้โรงรมยางพาราจากผู้เสียหายที่ 1 คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า นายพิสัยและนายประพันธ์ซึ่งรู้เห็นขณะจำเลยกระทำความผิดเบิกความสอดคล้องต้องกันในสาระสำคัญไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย เฉพาะนายประพันธ์ก็เป็นญาติลูกพี่ลูกน้องกับจำเลย จึงไม่มีเหตุที่แกล้งสร้างเรื่องมาปรักปรำจำเลย เชื่อว่าเบิกความตามความจริง ส่วนที่พยานสองปากนี้เบิกความขัดกับผู้เสียหายที่ 2 พยานโจทก์อีกปากไปบ้าง ก็ยังไม่พอทำให้น้ำหนักคำเบิกความของนายพิสัยและนายประพันธ์เสียไป เชื่อได้ว่าจำเลยคือคนร้ายทำลายทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ 1 อันสืบเนื่องจากเหตุที่จำเลยไม่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการที่จำเลยยินยอมให้สร้างโรงรมยางพาราในที่ดินของตนตามที่จำเลยกล่าวอ้างในหนังสือร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการ เมื่อโรงงานที่เสียหายเป็นของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยงานของทางราชการที่ไม่ได้แสวงหากำไร เพียงแต่อนุญาตให้สหกรณ์ซึ่งมีผู้เสียหายที่ 2 เป็นประธานเป็นผู้ดูแลเท่านั้น ประชาชนมีสิทธิเป็นสมาชิกและเข้าใช้ประโยชน์ได้ จึงเป็นทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ คดีจึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
ที่จำเลยขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ เห็นว่า ความเสียหายที่จำเลยก่อกับทรัพย์ไม่ถึงกับทำให้ทรัพย์ใช้งานไม่ได้อีกต่อไป ทั้งจำเลยกระทำระหว่างสมาชิกหยุดใช้งานโรงรมยางพาราเพราะอยู่ในช่วงยางพาราผลัดใบ ประกอบกับจำเลยกระทำเพราะเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมที่ไม่ได้ผลประโยชน์ตอบแทนจากที่ยินยอมให้สร้างโรงรมยางพาราในที่ดินของจำเลย จึงเห็นสมควรลงโทษจำเลยสถานเบาและรอการลงโทษให้ แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำให้ลงโทษปรับจำเลยด้วย
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 จำคุก 2 เดือน และปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

Share