แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เมื่อการบังคับจำนำหุ้นของบริษัท ซ. โดยการขายทอดตลาดซึ่งไม่ได้เป็นไปโดยเปิดเผยแก่ประชาชนทั่วไปและไม่ได้ขายในราคาที่พอสมควร การขายทอดตลาดหุ้นดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่มีผลถึงหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินอันเป็นหนี้ประธานที่จำเลยมีความรับผิดต่อโจทก์อยู่ตั้งแต่ก่อนจะมีการขายทอดตลาดแล้ว
แม้โจทก์จะมีสิทธิขอบังคับตามตั๋วสัญญาใช้เงินโดยไม่จำต้องบังคับจำนำเอากับหุ้นก่อนก็ตาม แต่โจทก์ตั้งรูปบรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิบังคับจำนำและคิดคำนวณยอดหนี้โดยหักเงินที่ได้จากการบังคับจำนำมาชำระหนี้ ศาลจึงต้องพิจารณาประเด็นเรื่องการบังคับจำนำ เมื่อวินิจฉัยว่าการบังคับจำนำไม่ชอบด้วยกฎหมายย่อมทำให้ยอดหนี้ที่โจทก์คิดคำนวณในฟ้องไม่ถูกต้อง จึงไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้องได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินและหนี้ยังไม่ระงับ จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยตามสัญญา แต่เมื่อยอดหนี้ที่ค้างชำระทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยยังไม่ถูกต้อง สมควรที่จะให้มีการคิดคิดคำนวณใหม่โดยพิพากษายกฟ้องและไม่ตัดสิทธิที่โจทก์จะนำคดีมาฟ้องใหม่
อุทธรณ์ในปัญหาเพียงว่าจะระบุในคำพิพากษาให้สิทธิโจทก์ที่จะฟ้องคดีใหม่หรือไม่ ไม่มีข้อพิพาทโต้เถียงเรื่องจำนวนเงินที่จำเลยต้องรับผิดโดยตรง ข้ออุทธรณ์ดังกล่าวจึงไม่ใช่คดีมีทุนทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้จำนวน 36,760,057.73 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 28 ต่อปี ของต้นเงิน จำนวน 28,916,855.76 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ภายในกำหนดอายุความ ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนและให้ยกอุทธรณ์ของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จำนวน 200 บาท ให้จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า การขายทอดตลาดหุ้นของบริษัทซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เพื่อบังคับจำนำชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 764 วรรคสอง บัญญัติว่า “ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าวผู้รับจำนำชอบที่จะนำเอาทรัพย์สินซึ่งจำนำออกขายได้ แต่ต้องขายทอดตลาด” ทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า การขายทอดตลาดครั้งที่สองที่ขายได้ ไม่ได้ส่งไปลงประกาศทางหนังสือพิมพ์ทั้งที่การขายทอดตลาดครั้งแรกได้มีการส่งไปลงประกาศทางหนังสือพิมพ์ ประการต่อมาผู้ทำการขายทอดตลาดคือนายประชาก็เป็นพนักงานของโจทก์ โจทก์เป็นผู้เสนอซื้อเพียงรายเดียวในราคาหุ้นละ 100 บาท เท่ากับราคาที่ระบุไว้ในใบหุ้นเท่านั้น ผู้ทอดตลาดจึงไม่สมควรที่จะขาย เพราะตามประกาศขายทอดตลาด ข้อ 5 มีความว่า “เมื่อใดผู้ทอดตลาดเห็นว่า ราคาซึ่งผู้ประมูลสู้ราคาสูงสุดนั้นยังไม่เพียงพอ ผู้ทอดตลาดอาจถอนทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดได้” ซึ่งจำเลยมีนายสุชาติ ผู้ตรวจสอบบัญชีเบิกความว่า ได้ตรวจสอบงบการเงินของบริษัทซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด และทำรายงานไว้ เมื่อคำนวณราคาหุ้นแล้วได้หุ้นละประมาณ 600 บาท พฤติการณ์ของโจทก์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า การขายทอดตลาดไม่ได้เป็นไปโดยเปิดเผยแก่ประชาชนทั่วไป และไม่ได้ขายในราคาที่พอสมควร ดังนั้น การขายทอดตลาดหุ้นของบริษัทซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เพื่อบังคับจำนำของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาประการต่อไปมีว่า เมื่อมีการบังคับจำนำไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลจะพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เต็มตามฟ้องได้หรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะมีสิทธิขอบังคับตามตั๋วสัญญาใช้เงินโดยไม่จำต้องบังคับจำนำเอากับหุ้นก่อนดังที่โจทก์ฎีกาก็ตาม แต่โจทก์ก็ต้องตั้งรูปบรรยายฟ้องและคิดคำนวณยอดหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินอย่างเดียว โดยไม่กล่าวถึงการบังคับจำนำเอากับหุ้นที่จำเลยจำนำไว้ ดังนั้นการที่โจทก์ตั้งรูปบรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิบังคับจำนำและคิดคำนวณยอดหนี้โดยหักเงินที่ได้จากการบังคับจำนำมาชำระหนี้ และศาลต้องพิจารณาประเด็นเรื่องการบังคับจำนำ เมื่อวินิจฉัยว่าการบังคับจำนำไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมทำให้ยอดหนี้ที่โจทก์คิดคำนวณมาในฟ้องไม่ถูกต้อง ไม่ชอบที่ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีเต็มตามฟ้องดังที่โจทก์ฎีกา ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาประการต่อไปตามฎีกาของจำเลยมีว่า ศาลควรพิพากษายกฟ้องโดยไม่ระบุว่าให้สิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่หรือไม่ ในประเด็นข้อนี้ปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นคดีมีทุนทรัพย์และจำเลยเสียค่าขึ้นศาลไม่ถูกต้องจึงไม่รับวินิจฉัยให้นั้น เห็นว่า ข้ออุทธรณ์นี้เป็นเพียงปัญหาว่าจะระบุไว้ในคำพิพากษาให้สิทธิโจทก์ที่จะฟ้องคดีใหม่หรือไม่ ไม่มีข้อพิพาทโต้แย้งเรื่องจำนวนเงินที่จำเลยต้องรับผิดโดยตรง จึงไม่ใช่คดีมีทุนทรัพย์ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยนั้นไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย และเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์และหนี้ยังไม่ระงับ จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยตามสัญญา แต่เมื่อยอดหนี้ที่ค้างชำระทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยยังไม่ถูกต้อง ก็สมควรที่จะให้มีการคิดคำนวณใหม่โดยพิพากษายกฟ้องและไม่ตัดสิทธิที่โจทก์จะนำคดีมาฟ้องใหม่ซึ่งเป็นอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะพิพากษาได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ดำเนินการขายทอดตลาดโดยไม่สุจริตจึงไม่ควรให้สิทธิฟ้องคดีใหม่นั้น ศาลก็ได้วินิจฉัยแล้วว่าการขายทอดตลาดไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งย่อมจะไม่มีผลถึงหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยมีความรับผิดต่อโจทก์อยู่ตั้งแต่ก่อนจะมีการขายทอดตลาดแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ