คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7146/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่จำเลยยังคงติดตามให้ จ. กลับไปอยู่กับจำเลยและบุตรเมื่อจำเลยไปพบเห็น จ. กับผู้เสียหายอยู่กันตามลำพังในห้องน้ำในคืนเกิดเหตุ นับได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่ผู้เสียหายได้กระทำการอันเป็นการข่มเหงในทางจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมและจำเลยย่อมเกิดอารมณ์หึงหวงในฐานะที่ตนเองเป็นสามีของ จ. อยู่และบันดาลโทสะขึ้นในขณะนั้นจึงได้ใช้มีดแทงผู้เสียหาย ซึ่งแม้จำเลยแทงผู้เสียหายครั้งแรกในห้องน้ำ และแทงผู้เสียหายครั้งต่อๆ มาที่ประตูหน้าบ้าน แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องติดพันกันอยู่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ตามประมวลอาญา มาตรา 72
จ. ยังเป็นภริยาจำเลย แต่การที่จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายเพื่อตามหา จ. โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยกับผู้เสียหายมีความสัมพันธ์กันในทางใด ทั้งจำเลยก็ไม่เคยพักอาศัยอยู่กับผู้เสียหาย จำเลยย่อมไม่มีสิทธิเข้าไปในบ้านผู้เสียหายโดยพลการ จึงเป็นการเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานบุกรุก
จำเลยมิได้มีเจตนาแต่แรกที่จะเข้าไปทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งมิได้วางแผนเตรียมมีดของกลางเพื่อที่จะไปแทงผู้เสียหายมาก่อนเกิดเหตุ แต่เมื่อจำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายแล้วจำเลยไปพบว่าผู้เสียหายอยู่ในห้องน้ำกับ จ. เพียงสองต่อสอง จึงหยิบมีดที่พบวางอยู่ไปแทงผู้เสียหาย การบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายกับการแทงผู้เสียหายจึงเป็นเจตนาที่มิได้เกิดขึ้นพร้อมกัน แต่เกิดขึ้นเป็นสองครั้งแยกจากกันได้ จึงเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน โดยเป็นความผิดฐานบุกรุกในเวลากลางคืนกรรมหนึ่งและพยายามฆ่าอีกกรรมหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2544 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ด้วยการตระเตรียมมีดปลายแหลม 1 เล่ม เป็นอาวุธติดตัวบุกรุกเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของนายอุทัยผู้เสียหาย โดยไม่ได้รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุอันสมควร แล้วใช้อาวุธมีดดังกล่าวแทงผู้เสียหายหลายครั้ง คมมีดถูกที่บริเวณแก้มซ้าย ไหล่ทั้งสองข้างหน้าอก และทะลุเข้าในท้องด้านซ้าย จำเลยลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เพราะแพทย์รักษาผู้เสียหายได้ทันท่วงที ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตาย แต่การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัส ต้องทุพพลภาพและป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน และจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 289, 364, 365 และริบของกลาง
จำเลยให้การว่ากระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 289 (4), 365 (1) (2) (3) ประกอบมาตรา 364 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 50 (ที่ถูกมาตรา 53) คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 33 ปี 4 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 จำคุก 12 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามคงจำคุก 8 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังที่กล่าวในฟ้อง จำเลยเข้าไปในบ้านของนายอุทัยผู้เสียหายแล้วใช้มีดของกลางเป็นอาวุธแทงผู้เสียหายหลายครั้ง ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลหลายแห่งตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.4
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า จำเลยวางแผนเตรียมมีดปลายแหลมที่มีขนาดใหญ่และยาวพอที่จะแทงผู้เสียหายให้ถึงแก่ความตายได้มาก่อนเกิดเหตุ และมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะเพราะผู้เสียหายเป็นชู้กับนางจันทร์เพ็ญภริยาจำเลยหรือไม่ โดยสมควรวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ก่อน เห็นว่า ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80 นั้น ข้อเท็จจริงจะต้องได้ความว่า ก่อนกระทำความผิด ผู้กระทำต้องมีการคิดวางแผน และไตร่ตรองทบทวนแล้วจึงตกลงใจกระทำความผิด ไม่ใช่กระทำไปโดยเหตุปัจจุบันทันด่วน และการไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นเหตุเกี่ยวกับเจตนาส่วนตัวของผู้กระทำผิด ซึ่งต้องดูการกระทำเป็นสำคัญเพราะกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา โจทก์มีนางจันทร์เพ็ญและผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความในทำนองเดียวกันว่าในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 22 นาฬิกา ขณะที่นางจันทร์เพ็ญกำลังซักผ้าอยู่ในห้องน้ำใต้ถุนบ้านที่เกิดเหตุ ส่วนผู้เสียหายกำลังจะอาบน้ำในห้องน้ำ ประตูห้องน้ำเปิดอยู่จำเลยเดินเข้าไปในห้องน้ำ ถือมีดอยู่ในมือขวาร้องเรียก “ไอ้จร” ซึ่งเป็นชื่อเล่นของผู้เสียหาย นางจันทร์เพ็ญลุกขึ้นขวางจำเลย จำเลยใช้มีดจ้วงแทงผู้เสียหายข้ามไหล่นางจันทร์เพ็ญ นางจันทร์เพ็ญวิ่งหนีไปที่ใต้ถุนบ้านห่างจากห้องน้ำประมาณ 3 เมตร จากนั้นจำเลยวิ่งออกมาจากห้องน้ำ ผู้เสียหายวิ่งไล่ตามในมือถือแบตเตอรี่ไปด้วยและไปทันกันที่ประตูหน้าบ้าน ผู้เสียหายใช้แบตเตอรี่ตีที่ศีรษะจำเลยแล้วตัวเองล้มลงนอนหงาย จำเลยขึ้นคร่อมตัวผู้เสียหายพร้อมกับใช้มีดจ้วงแทงผู้เสียหายที่ท้องอีกหลายครั้งครั้งสุดท้ายด้ามมีดหลุดจากใบมีด ส่วนใบมีดเสียบอยู่ที่ท้องด้านซ้ายของผู้เสียหาย นางจันทร์เพ็ญร้องให้คนช่วย จำเลยลุกขึ้นวิ่งหนีไป และนางจันทร์เพ็ญเบิกความว่า นางจันทร์เพ็ญเคยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยมานาน 16 ปี มีบุตรด้วยกัน 2 คน แต่ต่อมาจำเลยเสพเมทแอมเฟตามีน ไม่ทำงานหาเลี้ยงครอบครัว นางจันทร์เพ็ญขอหย่ากับจำเลย แต่จำเลยไม่ยอมหย่า นางจันทร์เพ็ญจึงหนีออกจากบ้านไปอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เสียหาย ก่อนเกิดเหตุจำเลยเคยบุกรุกเข้าไปทำร้ายร่างกายนางจันทร์เพ็ญที่บ้านผู้เสียหายมาก่อนเนื่องจากหึงหวงนางจันทร์เพ็ญ และผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยไม่เลี้ยงดูนางจันทร์เพ็ญ นางจันทร์เพ็ญจึงไปอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เสียหาย ผู้เสียหายทราบว่าจำเลยยังไม่ได้หย่ากับนางจันทร์เพ็ญ เหตุในคดีนี้เกิดขึ้นเพราะจำเลยหึงหวงนางจันทร์เพ็ญ ซึ่งจากคำเบิกความของนางจันทร์เพ็ญและผู้เสียหายดังกล่าวไม่ปรากฏชัดว่า จำเลยเตรียมมีดของกลางติดตัวไปเองหรือไม่ และไม่ได้เบิกความยืนยันว่ามีดของกลางเป็นของผู้ใด กับโจทก์มีพันตำรวจตรีดิเรก พนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความว่า ในชั้นสอบสวนพยานได้สอบปากคำนางจันทร์เพ็ญผู้เสียหาย และจำเลยไว้ แต่โจทก์ไม่ได้อ้างส่งบันทึกคำให้การของนางจันทร์เพ็ญและผู้เสียหายต่อศาล คงอ้างส่งแต่เพียงคำให้การของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.8 ทำให้ไม่สามารถทราบได้ว่า ในชั้นสอบสวนนั้น นางจันทร์เพ็ญและผู้เสียหายให้การว่าอย่างไรบ้าง สอดคล้องกับคำเบิกความในชั้นศาลหรือไม่ โดยเฉพาะในเรื่องมีดของกลางว่าเป็นของผู้ใด เป็นของจำเลยเองหรือเป็นของฝ่ายผู้เสียหาย เพราะทั้งนางจันทร์เพ็ญและผู้เสียหายเห็นแต่เพียงว่าจำเลยถือมีดก็ต่อเมื่อจำเลยเข้าไปในห้องน้ำแล้ว ซึ่งจำเลยต่อสู้ว่า มีดที่ใช้แทงผู้เสียหายเป็นมีดที่จำเลยหยิบได้จากที่บ้านผู้เสียหายนั่นเองสอดคล้องกับบันทึกคำให้การของจำเลยเอกสารหมาย จ.8 ที่ให้การไว้ต่อพันตำรวจตรีดิเรกว่า ในเวลาเกิเหตุจำเลยไปตามนางจันทร์เพ็ญที่บ้านผู้เสียหาย พบว่ามีแสงไฟในห้องน้ำจึงหยิบมีดของกลางที่วางอยู่ที่โต๊ะติดกับห้องน้ำถือไว้แล้วเปิดประตูห้องน้ำ เห็นนางจันทร์เพ็ญและผู้เสียหายกำลังกอดจูบกันอยู่ขณะนั้นนางจันทร์เพ็ญนุ่งผ้าขนหนูกระโจมอก ส่วนผู้เสียหายนุ่งกางเกงชั้นในตัวเดียว จึงใช้มีดเป็นอาวุธแทงจำเลยไปหลายครั้ง เมื่อยังไม่แน่นอนว่าจำเลยเป็นผู้ตระเตรียมมีดไปเองหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์จึงยังมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยวางแผนเตรียมมีดของกลางเพื่อที่จะไปแทงผู้เสียหายมาก่อนเกิดเหตุ อันจะเป็นเครื่องชี้เจตนาว่าจำเลยกระทำความผิดโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลย อย่างไรก็ตาม พยานหลักฐานของโจทก์คงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยแต่เพียงว่า จำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยเท่านั้น ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะเพราะผู้เสียหายเป็นชู้กับนางจันทร์เพ็ญ ภริยาจำเลยนั้น นางจันทร์เพ็ญเบิกความว่า นางจันทร์เพ็ญเป็นภริยาจำเลยโดยจดทะเบียนสมรสกันมานาน 16 ปี แล้ว มีบุตรด้วยกัน 2 คน ต่อมาจำเลยเสพแมทแอมเฟตามีนและไม่ทำงานหาเลี้ยงครอบครัว นางจันทร์เพ็ญขอหย่ากับจำเลย แต่จำเลยยังไม่ยอมหย่า นางจันทร์เพ็ญจึงไปอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เสียหายก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 ปี และก่อนเกิดเหตุจำเลยเคยบุกรุกเข้าไปทำร้ายร่างกายนางจันทร์เพ็ญที่บ้านผู้เสียหายมาก่อนส่วนผู้เสียหายเบิกความว่านางจันทร์เพ็ญเป็นภริยาจำเลย แต่จำเลยไม่เลี้ยงดูนางจันทร์เพ็ญ นางจันทร์เพ็ญจึงไปอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เสียหาย และผู้เสียหายทราบว่าจำเลยกับนางจันทร์เพ็ญยังไม่ได้หย่าขาดจากกัน ซึ่งเท่ากับนางจันทร์เพ็ญและผู้เสียหายต่างก็รู้ดีว่านางจันทร์เพ็ญยังเป็นภริยาตามกฎหมายของจำเลยอยู่ การที่ผู้เสียหายอยู่กินฉันสามีภริยากับนางจันทร์เพ็ญทั้งๆ ที่นางจันทร์เพ็ญยังเป็นภริยาจำเลยอยู่นั้น จึงเป็นการล่วงเกินภริยาจำเลยในฐานะชายชู้ และหลังจากนางจันทร์เพ็ญไปอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เสียหายแล้วนางจันทร์เพ็ญเบิกความว่า จำเลยเคยบุกรุกเข้าไปในทำร้ายร่างกายนางจันทร์เพ็ญที่บ้านผู้เสียหายมาก่อน ซึ่งเจือสมกับคำเบิกความของนางลัดดาพี่สาวนางจันทร์เพ็ญซึ่งเป็นพยานจำเลยว่า พยานกับนางสาวพรรณทิวา บุตรของจำเลยกับนางจันทร์เพ็ญเคยไปตามนางจันทร์เพ็ญที่บ้านผู้เสียหายให้กลับไปอยู่กับจำเลยและบุตร แต่นางจันทร์เพ็ญไม่ยอมแสดงให้เห็นว่าจำเลยยังคงติดตามให้นางจันทร์เพ็ญกลับไปอยู่กับจำเลยและบุตรอยู่ส่วนที่นางจันทร์เพ็ญเบิกความว่าจำเลยเสพเมทแอมเฟตามีน แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ และผู้เสียหายก็มิได้เบิกความว่า จำเลยเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนที่นางจันทร์เพ็ญและผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยไม่เลี้ยงดูครอบครัว แต่ก็ปรากฏว่าบุตรทั้งสองคนของจำเลยและนางจันทร์เพ็ญยังคงอยู่อาศัยกับจำเลย นางจันทร์เพ็ญเสียอีกกลับปลีกตัวไปอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เสียหายที่บ้านผู้เสียหาย ทั้งนางลัดดาเบิกความว่า นางจันทร์เพ็ญชอบดื่มสุราและเล่นไป บางครั้งทะเลาะกับจำเลยอ้างว่าจำเลยหาเงินไม่พอใช้ การที่นางลัดดาเบิกความเช่นนี้ทั้งๆ ที่เป็นพี่สาวนางจันทร์เพ็ญเอง ย่อมแสดงให้เห็นว่า ที่นางจันทร์เพ็ญอ้างว่าจำเลยเสพเมทแอมเฟตามีน และจำเลยไม่เลี้ยงดูครอบครัว อาจเป็นข้ออ้างเพื่อไปอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เสียหายก็เป็นได้ การที่จำเลยยังคงติดตามให้นางจันทร์เพ็ญกลับไปอยู่กับจำเลยและบุตรเมื่อจำเลยไปพบเห็นนางจันทร์เพ็ญกับผู้เสียหายอยู่กันตามลำพังในห้องน้ำในคืนเกิดเหตุ นับได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่ผู้เสียหายได้กระทำการอันเป็นการข่มแหงในทางจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และจำเลยย่อมเกิดอารมณ์หึงหวงในฐานะที่ตนเองเป็นสามีของนางจันทร์เพ็ญอยู่ และนับดาลโทสะขึ้นในขณะนั้นจึงได้ใช้มีดแทงผู้เสียหาย ซึ่งแม้จำเลยแทงผู้เสียหายครั้งแรกในห้องน้ำ และแทงผู้เสียหายครั้งต่อๆ มาที่ประตูหน้าบ้าน แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องติดพันกันอยู่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะซึ่งศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า จำเลยกระทำผิดฐานบุกรุกหรือไม่ แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่านางจันทร์เพ็ญยังเป็นภริยาจำเลย แต่การที่จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายเพื่อตามหานางจันทร์เพ็ญโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยกับผู้เสียหายมีความสัมพันธ์กันในทางใดทั้งจำเลยก็ไม่เคยพักอาศัยอยู่กับผู้เสียหาย จำเลยย่อมไม่มีสิทธิเข้าไปในบ้านผู้เสียหายโดยพลการ การที่จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายดังกล่าว จึงเป็นการเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานบุกรุก ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตาม จำเลยมิได้มีเจตนาแต่แรกที่จะเข้าไปทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งมิได้วางแผนเตรียมมีดของกลางเพื่อที่จะไปแทงผู้เสียหายมาก่อนเกิดเหตุ แต่เมื่อจำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายแล้วจำเลยไปพบว่าผู้เสียหายอยู่ในห้องน้ำกับนางจันทร์เพ็ญเพียงสองต่อสอง จึงหยิบมีดที่พบวางอยู่ไปแทงผู้เสียหาย การบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายกับการแทงผู้เสียหายจึงเป็นเจตนาที่มิได้เกิดขึ้นพร้อมกัน แต่เกิดขึ้นเป็นสองครั้งแยกจากกันได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรมต่างกันโดยเป็นความผิดฐานบุกรุกในเวลากลางคืนกรรมหนึ่ง และพยายามฆ่าอีกกรรมหนึ่ง ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือหลายกรรมต่างกันเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ แต่โจทก์มิได้ฎีกาขอให้เพิ่มโทษจำเลยในเหตุนี้ ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยเป็นสองกรรมได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ซึ่งต้องห้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225″
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (3) ประกอบมาตรา 364 และมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 และมาตรา 72 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน แต่คงลงโทษจำเลยได้เพียง 1 กรรม ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น แต่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 และมาตรา 72 วางโทษจำคุก 4 ปี คำให้การและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5

Share