แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ให้การว่าเหตุที่จำเลยใช้เหล็กปลายแหลมแทงผู้เสียหายเพราะจำเลยสืบทราบว่า ผู้เสียหายมีส่วนร่วมในการฆ่าญาติของจำเลยเป็นพยานบอกเล่า ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานและไม่มีเหตุเข้าข้อยกเว้นให้รับฟังได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 วรรคสอง (1) (2)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2544 เวลากลางวัน จำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยได้พาอาวุธเหล็กปลายแหลมไปในหมู่บ้าน หมู่ที่ 3 ตำบลบ่อหิน อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นทางสาธารณะและหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันสมควร และจำเลยมีเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ได้ใช้อาวุธเหล็กปลายแหลมที่พาติดตัวแทงนายปรีชาผู้เสียหายหลายครั้ง ถูกบริเวณกระดูกสะบักขวาและต้นแขนซ้าย จำเลยได้ลงมือกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากอาวุธไม่ถูกอวัยวะสำคัญ เพราะผู้เสียหายพยายามป้องกันตัวมิให้จำเลยแทงซ้ำ อีกทั้งผู้เสียหายได้รับการรักษาพยาบาลจากแพทย์ทันท่วงทีจึงไม่ถึงแก่ความตาย ผู้เสียหายคงได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจเท่านั้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 288, 289, 371
จำเลยให้การรับว่า พาอาวุธเหล็กปลายแหลมติดตัวไปในทางสาธารณะและหมู่บ้าน และได้ใช้อาวุธเหล็กปลายแหลมดังกล่าวแทงผู้เสียหายจริง แต่จำเลยแทงโดยมีเจตนาทำร้าย มิได้มีเจตนาฆ่าและเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 100 บาท ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 2 ปี และปรับ 100 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี และปรับ 50 บาท ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 1 ปี ยกฟ้องข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยใช้เหล็กปลายแหลมแทงนายปรีชาผู้เสียหาย ที่บริเวณกระดูกสะบักขวา 2 แผล และต้นแขนซ้าย 1 แผล เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจตามรายงานผลการชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.1 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของคู่ความปรากฏว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายกับจำเลยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน วันเกิดเหตุจำเลยมายังที่เกิดเหตุแล้วนั่งพูดคุยกับผู้เสียหายและพวกประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นจำเลยใช้เหล็กปลายแหลมที่พาติดตัวมาแทงผู้เสียหาย 3 ครั้ง หากจำเลยตั้งใจจะใช้เหล็กปลายแหลมแทงผู้เสียหายก่อนที่จะมาถึงที่เกิดเหตุ จำเลยก็น่าจะแทงผู้เสียหายในทันทีที่พบเห็นผู้เสียหายในที่เกิดเหตุ ทั้งก่อนที่จำเลยจะทำร้ายผู้เสียหาย จำเลยได้ให้บุหรี่ผู้เสียหายสูบด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยกับผู้เสียหายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกัน ส่วนที่จำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่าเหตุที่จำเลยใช้เหล็กปลายแหลมแทงผู้เสียหายเพราะจำเลยสืบทราบว่าผู้เสียหายมีส่วนร่วมในการฆ่าญาติของจำเลยนั้น เห็นว่าเป็นพยานบอกเล่าต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานและไม่มีเหตุเข้าข้อยกเว้นให้รับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง (1) (2) พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำร้ายผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยคงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 1 ปี 6 เดือน ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9